สิบปีหลังวิกฤติ
เรา เพิ่งผ่านหลักไมล์ 10 ปี นับจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นหลังจากการปล่อยค่าเงินบาทลอยตัวในวัน ที่ 2 กรกฎาคม 2540 แต่ก็น่าแปลกที่ยังมีการพูดถึงความเป็นไปได้ที่เราจะเกิดวิกฤติซ้ำอีก ทั้ง ๆ ที่ฐานะทางการเงินของประเทศในขณะนี้แข็งแกร่งกว่าช่วงใด ๆ ในอดีต บางที โอกาสครบรอบอะไรบางอย่างที่สำคัญ เจ็บปวด และรุนแรง อาจจะทำให้คนหวนคิดคำนึงถึงอดีตจนทำให้เกิดภาพหลอนและแสดงความรู้สึกออกมา โดยที่มันไม่ใช่ความจริง แบบที่ฝรั่งเรียกว่า Trauma หรือฝันร้ายที่ติดอยู่ในใจเป็นเวลานาน
ผม คงไม่พูดถึงเรื่องของเศรษฐกิจหรือการเงินของประเทศซึ่งก็คงจะมีภาพคล้าย ๆ กับตลาดหุ้นที่ผมจะพูดหรือพยายามรื้อฟื้นความหลังถึงเท่าที่พอจะจำหรือหา ข้อมูลได้ โดยที่ข้อสรุปของผมก็คือ ตลาดหุ้นของเราเติบโตขึ้นมากทั้งในด้านของปริมาณและคุณภาพแม้ว่าคนจำนวนมากจะรู้สึกว่ายังไม่ถึงระดับที่น่าพอใจ
เริ่ม จากขนาดของตลาดซึ่งวัดโดยมูลค่าตลาดรวมของบริษัทจดทะเบียนในช่วงวันวิกฤติ ซึ่งมีค่าประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท มาถึงวันนี้มีค่าถึง 5.9 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตขึ้นถึง 270 % คิดเป็นการเพิ่มถึงปีละประมาณ 13.9% แบบทบต้นในขณะที่เศรษฐกิจของเราโตขึ้นเพียงปีละ4 – 5 % เท่านั้น ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ก่อนวิกฤตินั้น บริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นแทบจะมีแต่สถาบันการเงินคือแบงค์และไฟแน้นซ์เป็น หลัก ในขณะที่ปัจจุบันเรามีหุ้นกลุ่มใหญ่ ๆ หลากหลายนอกเหนือจากแบงค์ เช่น กลุ่มพลังงาน สื่อสาร วัสดุก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์และกลุ่มอื่น ๆ ขนาดของตลาดหุ้นในปัจจุบันนี้เมื่อเทียบกับขนาดของเศรษฐกิจของเราที่ 7.8 ล้านล้านบาทต่อปีก็ตกอยู่ที่ประมาณ 76% ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่สูงนักเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นที่พัฒนากว่าเรา แต่ก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไรนักในระดับโลก
พูด ถึงปริมาณการซื้อขายหุ้นก็ยิ่งเห็นว่า ปริมาณการซื้อขายหุ้นในวันนี้ของเราสูงกว่าในช่วงปีวิกฤติเศรษฐกิจมาก เพราะในขณะที่เราบ่นว่าการซื้อขายหุ้นในปีนี้ค่อนข้างซบเซา แต่เราก็ยังมีคนเคาะซื้อขายกันเฉลี่ยวันละกว่าหมื่นล้านบาท ในขณะที่ในปี 2540 นั้น การซื้อขายเฉลี่ยต่อวันมีเพียงประมาณ 3,700 ล้านบาทเท่านั้น และถ้าดูย้อนหลังจากปี 2540 ลงไปก็พบว่าไม่เคยมีปีไหนที่มีปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันเฉลี่ยเกิน 10,000 ล้านบาทเลย นี่ก็เป็นข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งว่าตลาดหุ้นบ้านเราในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมานั้นไม่เคยซบเซา ผมเองยังจำได้ถึงช่วงเวลาหลังวิกฤติใหม่ ๆ ที่เริ่มต้นลงทุนอย่างจริงจังและนั่งเก็บหุ้น Value หลาย ๆ ตัวที่แทบไม่มีการซื้อขายในช่วงเวลาหลาย ๆ วันหรือสัปดาห์ ในใจผมขณะนั้นคิดแต่เพียงว่า เมื่อซื้อได้แล้ว ผมอาจจะไม่มีสิทธิที่จะขายเลย แต่ผมก็ซื้อ ซึ่งต่างจากภาวะปัจจุบันมากที่หุ้นส่วนใหญ่มีสภาพคล่องในระดับที่พอจะซื้อ หรือขายได้แม้ว่าจะเป็นหุ้นขนาดเล็กมาก
ใน ด้านของนักลงทุนนั้น ในช่วงก่อนวิกฤติ นักลงทุนส่วนมากเป็นรายย่อยที่น่าจะมีสัดส่วนการซื้อขายถึง 70% โดยที่นักลงทุนต่างประเทศอาจจะมีประมาณ 20 – 25% ขณะที่นักลงทุนสถาบันอาจจะมีเพียง 5 – 10% ในขณะที่ปัจจุบันตัวเลขของนักลงทุนรายย่อยน่าจะเหลืออยู่เพียง ประมาณ 50% นักลงทุนต่างประเทศมีมากขึ้นเป็นประมาณ 35 – 40% และนักลงทุนสถาบันอาจจะมีถึง 10 – 15% นั่นหมายถึงว่า คุณภาพของนักลงทุนในตลาดหุ้นน่าจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ใน ช่วงวิกฤติและก่อนหน้านั้น แทบจะพูดได้ว่า นักลงทุน โดยเฉพาะรายย่อยนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นนักเก็งกำไรและเป็นนักลงทุนระยะสั้นที่เล่นหุ้นตามข่าวและ ตามภาวะตลาด การเล่นหุ้นตามปัจจัยพื้นฐานมีน้อยมากและคำว่า Value Investment นั้น ไม่เคยมีอยู่ในศัพท์ของนักลงทุน ในวันนี้ เรามีคนที่เรียกว่า Value Investor มีคนที่เล่นหุ้นปันผล มีคนที่เล่นหุ้นเติบโตเร็ว และแม้ว่ากลุ่มคนที่ลงทุนอย่างมี “สไตล์” เหล่านั้นจะยังเป็นกลุ่มคนกลุ่มเล็ก ๆ แต่ก็เติบโตไปเรื่อย ๆ และมีอิทธิพลมากขึ้นในตลาดหุ้น
ก่อน ช่วงวิกฤติ เราแทบไม่มีตราสารการเงินที่ซับซ้อนเลยนอกจากหุ้นและกองทุนรวมพื้น ๆ แต่ในวันนี้ เรามีเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ มากขึ้นมาก ตัวอย่างที่โดดเด่นก็เช่น เรามีกองทุนรวมที่อิงดัชนีหุ้น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เรามีตลาดและตราสารอนุพันธ์หลายชนิด และกำลังมี ETF (Exchange Traded Fund)
ผม ไม่สามารถเขียนความก้าวหน้าและการเจริญเติบโตของตลาดหุ้นไทยได้หมด ที่จริงสิ่งที่เขียนมาก็เป็นเพียงน้อยนิดเท่านั้น และก็คงไม่ทำให้นักลงทุนรู้สึกตื่นเต้นดีใจอะไร เพราะตลาดจะเติบโตแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์กับนักลงทุนถ้าดัชนีหุ้นซึ่งเป็นตัว วัดผลกำไรของนักลงทุนระยะยาวไม่ได้มีการปรับตัวขึ้นมาตามที่ควรเป็น นั่นก็คือ 10 ปีที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นมาเพียงประมาณ 250 จุด จาก 527 จุดเป็น 777 จุดหรือคิดเป็นการเติบโตเพียงปีละประมาณ 4 % ซึ่งพอ ๆ กับอัตราเงินเฟ้อเท่านั้น และนี่ก็คือสิ่งที่ยังไม่เติบโตของตลาดหุ้นที่ทุกคนรอคอยอยู่ ผมเองได้แต่หวังว่า เมื่อถึงเวลา 15 ปีนับจากวันวิกฤติเศรษฐกิจ ดัชนีตลาดหุ้นของเราจะผ่านจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 1753 จุดที่เกิดขึ้นในปี 2537 และเมื่อถึงจุดนั้น เราก็คงจะสามารถพูดได้เต็มปากว่า ตลาดหลักทรัพย์ได้พ้นจากอาการ Trauma และก้าวเข้าสู่อีกยุคหนึ่งซึ่งทุกอย่างเหนือกว่ายุคเดิมที่จะกลายเป็นอดีต ที่ไม่เหลือความเจ็บปวดและฝันร้ายอีกต่อไป
ผม คงไม่พูดถึงเรื่องของเศรษฐกิจหรือการเงินของประเทศซึ่งก็คงจะมีภาพคล้าย ๆ กับตลาดหุ้นที่ผมจะพูดหรือพยายามรื้อฟื้นความหลังถึงเท่าที่พอจะจำหรือหา ข้อมูลได้ โดยที่ข้อสรุปของผมก็คือ ตลาดหุ้นของเราเติบโตขึ้นมากทั้งในด้านของปริมาณและคุณภาพแม้ว่าคนจำนวนมากจะรู้สึกว่ายังไม่ถึงระดับที่น่าพอใจ
เริ่ม จากขนาดของตลาดซึ่งวัดโดยมูลค่าตลาดรวมของบริษัทจดทะเบียนในช่วงวันวิกฤติ ซึ่งมีค่าประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท มาถึงวันนี้มีค่าถึง 5.9 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตขึ้นถึง 270 % คิดเป็นการเพิ่มถึงปีละประมาณ 13.9% แบบทบต้นในขณะที่เศรษฐกิจของเราโตขึ้นเพียงปีละ4 – 5 % เท่านั้น ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ก่อนวิกฤตินั้น บริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นแทบจะมีแต่สถาบันการเงินคือแบงค์และไฟแน้นซ์เป็น หลัก ในขณะที่ปัจจุบันเรามีหุ้นกลุ่มใหญ่ ๆ หลากหลายนอกเหนือจากแบงค์ เช่น กลุ่มพลังงาน สื่อสาร วัสดุก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์และกลุ่มอื่น ๆ ขนาดของตลาดหุ้นในปัจจุบันนี้เมื่อเทียบกับขนาดของเศรษฐกิจของเราที่ 7.8 ล้านล้านบาทต่อปีก็ตกอยู่ที่ประมาณ 76% ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่สูงนักเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นที่พัฒนากว่าเรา แต่ก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไรนักในระดับโลก
พูด ถึงปริมาณการซื้อขายหุ้นก็ยิ่งเห็นว่า ปริมาณการซื้อขายหุ้นในวันนี้ของเราสูงกว่าในช่วงปีวิกฤติเศรษฐกิจมาก เพราะในขณะที่เราบ่นว่าการซื้อขายหุ้นในปีนี้ค่อนข้างซบเซา แต่เราก็ยังมีคนเคาะซื้อขายกันเฉลี่ยวันละกว่าหมื่นล้านบาท ในขณะที่ในปี 2540 นั้น การซื้อขายเฉลี่ยต่อวันมีเพียงประมาณ 3,700 ล้านบาทเท่านั้น และถ้าดูย้อนหลังจากปี 2540 ลงไปก็พบว่าไม่เคยมีปีไหนที่มีปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันเฉลี่ยเกิน 10,000 ล้านบาทเลย นี่ก็เป็นข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งว่าตลาดหุ้นบ้านเราในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมานั้นไม่เคยซบเซา ผมเองยังจำได้ถึงช่วงเวลาหลังวิกฤติใหม่ ๆ ที่เริ่มต้นลงทุนอย่างจริงจังและนั่งเก็บหุ้น Value หลาย ๆ ตัวที่แทบไม่มีการซื้อขายในช่วงเวลาหลาย ๆ วันหรือสัปดาห์ ในใจผมขณะนั้นคิดแต่เพียงว่า เมื่อซื้อได้แล้ว ผมอาจจะไม่มีสิทธิที่จะขายเลย แต่ผมก็ซื้อ ซึ่งต่างจากภาวะปัจจุบันมากที่หุ้นส่วนใหญ่มีสภาพคล่องในระดับที่พอจะซื้อ หรือขายได้แม้ว่าจะเป็นหุ้นขนาดเล็กมาก
ใน ด้านของนักลงทุนนั้น ในช่วงก่อนวิกฤติ นักลงทุนส่วนมากเป็นรายย่อยที่น่าจะมีสัดส่วนการซื้อขายถึง 70% โดยที่นักลงทุนต่างประเทศอาจจะมีประมาณ 20 – 25% ขณะที่นักลงทุนสถาบันอาจจะมีเพียง 5 – 10% ในขณะที่ปัจจุบันตัวเลขของนักลงทุนรายย่อยน่าจะเหลืออยู่เพียง ประมาณ 50% นักลงทุนต่างประเทศมีมากขึ้นเป็นประมาณ 35 – 40% และนักลงทุนสถาบันอาจจะมีถึง 10 – 15% นั่นหมายถึงว่า คุณภาพของนักลงทุนในตลาดหุ้นน่าจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ใน ช่วงวิกฤติและก่อนหน้านั้น แทบจะพูดได้ว่า นักลงทุน โดยเฉพาะรายย่อยนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นนักเก็งกำไรและเป็นนักลงทุนระยะสั้นที่เล่นหุ้นตามข่าวและ ตามภาวะตลาด การเล่นหุ้นตามปัจจัยพื้นฐานมีน้อยมากและคำว่า Value Investment นั้น ไม่เคยมีอยู่ในศัพท์ของนักลงทุน ในวันนี้ เรามีคนที่เรียกว่า Value Investor มีคนที่เล่นหุ้นปันผล มีคนที่เล่นหุ้นเติบโตเร็ว และแม้ว่ากลุ่มคนที่ลงทุนอย่างมี “สไตล์” เหล่านั้นจะยังเป็นกลุ่มคนกลุ่มเล็ก ๆ แต่ก็เติบโตไปเรื่อย ๆ และมีอิทธิพลมากขึ้นในตลาดหุ้น
ก่อน ช่วงวิกฤติ เราแทบไม่มีตราสารการเงินที่ซับซ้อนเลยนอกจากหุ้นและกองทุนรวมพื้น ๆ แต่ในวันนี้ เรามีเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ มากขึ้นมาก ตัวอย่างที่โดดเด่นก็เช่น เรามีกองทุนรวมที่อิงดัชนีหุ้น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เรามีตลาดและตราสารอนุพันธ์หลายชนิด และกำลังมี ETF (Exchange Traded Fund)
ผม ไม่สามารถเขียนความก้าวหน้าและการเจริญเติบโตของตลาดหุ้นไทยได้หมด ที่จริงสิ่งที่เขียนมาก็เป็นเพียงน้อยนิดเท่านั้น และก็คงไม่ทำให้นักลงทุนรู้สึกตื่นเต้นดีใจอะไร เพราะตลาดจะเติบโตแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์กับนักลงทุนถ้าดัชนีหุ้นซึ่งเป็นตัว วัดผลกำไรของนักลงทุนระยะยาวไม่ได้มีการปรับตัวขึ้นมาตามที่ควรเป็น นั่นก็คือ 10 ปีที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นมาเพียงประมาณ 250 จุด จาก 527 จุดเป็น 777 จุดหรือคิดเป็นการเติบโตเพียงปีละประมาณ 4 % ซึ่งพอ ๆ กับอัตราเงินเฟ้อเท่านั้น และนี่ก็คือสิ่งที่ยังไม่เติบโตของตลาดหุ้นที่ทุกคนรอคอยอยู่ ผมเองได้แต่หวังว่า เมื่อถึงเวลา 15 ปีนับจากวันวิกฤติเศรษฐกิจ ดัชนีตลาดหุ้นของเราจะผ่านจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 1753 จุดที่เกิดขึ้นในปี 2537 และเมื่อถึงจุดนั้น เราก็คงจะสามารถพูดได้เต็มปากว่า ตลาดหลักทรัพย์ได้พ้นจากอาการ Trauma และก้าวเข้าสู่อีกยุคหนึ่งซึ่งทุกอย่างเหนือกว่ายุคเดิมที่จะกลายเป็นอดีต ที่ไม่เหลือความเจ็บปวดและฝันร้ายอีกต่อไป