ความลำเอียง
คุณสมบัติ สำคัญของการที่จะเป็น Value Investor ที่ดีข้อหนึ่งก็คือ การ “ไม่ลำเอียง” แต่คนเรานั้นมักจะมีความลำเอียงโดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัวในหลาย ๆ เรื่อง ต่อไปนี้คือความลำเอียงที่มักจะเกิดขึ้นกับคนทั่ว ๆ ไปซึ่ง แน่นอน รวมทั้ง Value Investor ดังนั้น ถ้าเรารู้ เราจะต้องพยายามเตือนตัวเองให้ตระหนักไว้เสมอเพื่อที่ว่าเราจะได้ไม่ลำเอียง หรือลำเอียงน้อยลง
ความลำเอียงข้อแรก : ผมเก่งกว่าหรือผมดีกว่าหรือผมรู้มากกว่า นี่คือความลำเอียงที่เกิดขึ้นมาก นักจิตวิทยาเคยทำการวิจัยโดยการถามคนที่ขับรถให้เขาให้คะแนนการขับรถของตน เองเทียบกับคนอื่นทั่ว ๆ ไปพบว่า คนส่วนใหญ่ 70-80% ตอบว่าตนเองขับรถได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยค่อนข้างมาก ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นไปไม่ได้ เพราะโดยความเป็นจริงจะต้องมีคนครึ่งหนึ่งที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยและอีกครึ่ง หนึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ความลำเอียงข้อนี้ เขาบอกว่ามาจากการที่คนเรามักจะมีความมั่นใจในตนเองสูงเกินไป Value Investor จะต้องเตือนตัวเองตลอดเวลาว่าเรากำลังคิดไปเองหรือเปล่าว่าเราเก่งหรือเรา รู้ดีหรือมีข้อมูลมากกว่าคนอื่น
ความลำเอียงข้อสอง : ผมเก่งไม่ได้เฮง นี่คือความลำเอียงที่เกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึกที่คนเรามักจะต้องการปกป้อง เกียรติยศและศักดิ์ศรีของตนเอง เวลาที่เราทำอะไรสำเร็จ เช่น ซื้อหุ้นแล้วหุ้นขึ้นได้กำไร เราก็มักจะคิดว่าเราเก่งไม่ได้เกิดจากโชค แต่ถ้าซื้อหุ้นแล้วขาดทุน เราก็มักจะคิดว่าโชคไม่ดี ผมเองแทบไม่เคยได้ยินนักธุรกิจคนไหนที่ประสบความสำเร็จสูงแล้วบอกว่าตนเอง ประสบความสำเร็จเพราะ “เฮง”
สำหรับ Value Investor ผมมีสูตรง่าย ๆ ที่จะทำให้เรารู้ว่าเราเก่งหรือเราเฮงเวลาลงทุนซื้อหุ้นนั่นคือ ทุกครั้งที่ซื้อหุ้นเราจะต้องคิดถึงเหตุผลก่อนว่าทำไมเราจึงซื้อ เช่น เราคิดว่ากำไรของบริษัทจะดีขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์หรือคนอื่นคิดซึ่งจะ ทำให้หุ้นขึ้นไป เมื่อซื้อแล้วต่อมาถ้าหุ้นขึ้นและเหตุผลที่เราคิดนั้นถูกต้อง นั่นแสดงว่าเรา “เก่ง” แต่ถ้าเราซื้อแล้วหุ้นวิ่งขึ้นไปแต่เหตุผลที่เราคิดไว้นั้นผิดคือกำไรของ บริษัทไม่ได้ดีขึ้น แบบนี้ ถึงแม้ว่าเราจะกำไรแต่เกิดขึ้นจาก “โชคดี” ในอีกด้านหนึ่ง ถ้าเราซื้อแล้วราคาหุ้นลดลงแม้ว่าเหตุผลของเราจะถูก แบบนี้เรียกว่าเรามีฝีมือแต่ “โชคร้าย” และสุดท้ายถ้าเหตุผลของเราผิดและหุ้นก็ลดลงแบบนี้แปลว่าฝีมือในการเลือกหุ้น ของเรายังไม่ดีพอ
ความลำเอียงข้อสาม : ผมรู้แล้วว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้ นี่คือความลำเอียงว่าตนเองรู้มาก่อน หลังจากที่ได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว หรือพูดแบบกวนเล็กน้อยว่า เป็นเรื่องของการ “คาดการณ์อดีต” เช่น “ผมคิดอยู่แล้วว่าถ้าเหตุการณ์ยังเป็นอย่างนี้ ในที่สุดก็จะต้องมีการปฏิวัติ” แต่นี่เป็นการพูดในวันที่ 19 กันยายน 2549 หลังจากที่มีแถลงการณ์ของคณะปฏิวัติแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เห็นมีใครพูดเลย ความลำเอียงข้อนี้ที่ทำให้น่ากลัวก็เพราะว่า ถ้าเราคิดว่าเรามีความสามารถในการพยากรณ์สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เราก็อาจจะคิดว่าเรามีความสามารถในการพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างแม่น ยำด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายสำหรับการลงทุน
ความลำเอียงข้อสี่ : ผมฟังเฉพาะที่ผมอยากฟังหรือผมรับรู้เฉพาะสิ่งที่ผมอยากรับรู้ และสิ่งที่คนอยากฟังก็คือสิ่งที่เขาเห็นด้วย คนอยากดูหรืออยากเห็นข้อมูลที่สอดคล้องกับความเชื่อหรือความเห็นของเขาและ มักจะปฏิเสธที่จะรับความเห็นที่แตกต่างหรือขัดแย้งกับความเชื่อของตน นี่คงเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึกที่คนเราพยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนเพื่อให้ รู้สึกว่าตนเอง “คิดถูกต้อง” เขาไม่อยากฟังสิ่งที่อาจจะทำให้เขารู้สึกว่าเขาคิดผิด แต่สำหรับนักลงทุนแล้ว เราควรจะต้องรับฟังข้อมูลและความเห็นต่าง ๆ ทุกด้านโดยเฉพาะข้อมูลที่แตกต่างจากความคิดของเรา ไม่ใช่ว่าเราจะต้องเชื่อ แต่มันจะช่วยเตือนให้เรามีความระมัดระวัง ไม่มั่นใจในตนเองมากเกินไป ว่าที่จริง ถ้า Value Investor ซื้อหุ้นตัวหนึ่งไว้แล้วด้วยเหตุผลที่ตนเองคิด เขาควรจะเลือกฟังความคิดเห็นที่แย้งกับความคิดของตนมากกว่าความคิดเห็นที่ เห็นด้วย เพราะคนที่ถือหุ้นตัวใดแล้ว เขาก็มีความลำเอียงที่จะรักหุ้นตัวนั้นมากกว่าปกติ ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อการตัดสินใจในอนาคต
ความลำเอียงข้อที่ห้า : การติดยึดกับตัวเลข ทั้ง ๆ ที่มันเป็นตัวเลขที่ไม่มีความหมายหรือไม่ได้อิงพื้นฐาน นี่เป็นเรื่องที่นักขายสินค้าแบบต่อรองรู้ดี เขารู้ว่า ถ้าเขาเปิดตัวเลขออกมาตัวหนึ่งแล้ว การต่อรองก็มักจะอิงกับตัวเลขนั้นบวกลบไม่มาก หรือถึงจะมากก็ยังห่างจากตัวเลขพื้นฐานจริง ๆ มากอยู่ดี ในเรื่องของหุ้นนั้นคงไม่ต้องบอกว่ามีตัวเลขมากมายที่เราอาจจะไปติดยึดโดย ที่มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพื้นฐานของกิจการเลย เช่น ราคาที่หุ้นเคยขึ้นไปสูงสุด ราคาที่ทำ IPO หรือแม้แต่ราคา “ต้นทุน” ของเรา Value Investor จะต้องพยายามไม่ติดยึดตัวเลขเหล่านั้น เช่น ถ้าจะขายหุ้นตัวไหน อย่าไปคิดว่าต้นทุนของเราเป็นเท่าไร เรากำไรหรือขาดทุนแค่ไหน การซื้อขายหุ้นควรจะอิงอยู่กับพื้นฐานของกิจการเป็นหลัก แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายนัก การศึกษาส่วนใหญ่พบว่า คนมักชอบขายหุ้นที่กำไรและเก็บหุ้นที่ขาดทุน ผมเองชอบขายหุ้นที่ขาดทุนและเก็บหุ้นที่กำไร ซึ่งก็คงไม่ดีทั้งคู่
ผม คงไม่ต้องพูดว่าความลำเอียงยังมีอีกมากมาย นักลงทุนจะต้องพยายามเรียนรู้ว่าตัวเองมีแนวโน้มที่จะลำเอียงในเรื่องไหนมาก และความลำเอียงนั้นอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายได้มากแค่ไหนและจะต้องคอย เตือนตัวเองตลอดเวลา นักลงทุนที่ดีนั้น จะต้องพยายามลดความลำเอียงให้เหลือน้อยเพื่อที่จะได้ใช้เหตุผลได้ถูกต้องมาก ขึ้นเรื่อย ๆ ในเรื่องของการลงทุนนั้น สิ่งที่ถูกก็คือถูก สิ่งที่ผิดก็คือผิด ผลลัพธ์ของคุณขึ้นอยู่กับว่าคุณถูกแค่ไหนและผิดแค่ไหน โชคนั้น เป็นเรื่องที่คุณไม่สามารถพึ่งพิงได้
ความลำเอียงข้อแรก : ผมเก่งกว่าหรือผมดีกว่าหรือผมรู้มากกว่า นี่คือความลำเอียงที่เกิดขึ้นมาก นักจิตวิทยาเคยทำการวิจัยโดยการถามคนที่ขับรถให้เขาให้คะแนนการขับรถของตน เองเทียบกับคนอื่นทั่ว ๆ ไปพบว่า คนส่วนใหญ่ 70-80% ตอบว่าตนเองขับรถได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยค่อนข้างมาก ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นไปไม่ได้ เพราะโดยความเป็นจริงจะต้องมีคนครึ่งหนึ่งที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยและอีกครึ่ง หนึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ความลำเอียงข้อนี้ เขาบอกว่ามาจากการที่คนเรามักจะมีความมั่นใจในตนเองสูงเกินไป Value Investor จะต้องเตือนตัวเองตลอดเวลาว่าเรากำลังคิดไปเองหรือเปล่าว่าเราเก่งหรือเรา รู้ดีหรือมีข้อมูลมากกว่าคนอื่น
ความลำเอียงข้อสอง : ผมเก่งไม่ได้เฮง นี่คือความลำเอียงที่เกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึกที่คนเรามักจะต้องการปกป้อง เกียรติยศและศักดิ์ศรีของตนเอง เวลาที่เราทำอะไรสำเร็จ เช่น ซื้อหุ้นแล้วหุ้นขึ้นได้กำไร เราก็มักจะคิดว่าเราเก่งไม่ได้เกิดจากโชค แต่ถ้าซื้อหุ้นแล้วขาดทุน เราก็มักจะคิดว่าโชคไม่ดี ผมเองแทบไม่เคยได้ยินนักธุรกิจคนไหนที่ประสบความสำเร็จสูงแล้วบอกว่าตนเอง ประสบความสำเร็จเพราะ “เฮง”
สำหรับ Value Investor ผมมีสูตรง่าย ๆ ที่จะทำให้เรารู้ว่าเราเก่งหรือเราเฮงเวลาลงทุนซื้อหุ้นนั่นคือ ทุกครั้งที่ซื้อหุ้นเราจะต้องคิดถึงเหตุผลก่อนว่าทำไมเราจึงซื้อ เช่น เราคิดว่ากำไรของบริษัทจะดีขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์หรือคนอื่นคิดซึ่งจะ ทำให้หุ้นขึ้นไป เมื่อซื้อแล้วต่อมาถ้าหุ้นขึ้นและเหตุผลที่เราคิดนั้นถูกต้อง นั่นแสดงว่าเรา “เก่ง” แต่ถ้าเราซื้อแล้วหุ้นวิ่งขึ้นไปแต่เหตุผลที่เราคิดไว้นั้นผิดคือกำไรของ บริษัทไม่ได้ดีขึ้น แบบนี้ ถึงแม้ว่าเราจะกำไรแต่เกิดขึ้นจาก “โชคดี” ในอีกด้านหนึ่ง ถ้าเราซื้อแล้วราคาหุ้นลดลงแม้ว่าเหตุผลของเราจะถูก แบบนี้เรียกว่าเรามีฝีมือแต่ “โชคร้าย” และสุดท้ายถ้าเหตุผลของเราผิดและหุ้นก็ลดลงแบบนี้แปลว่าฝีมือในการเลือกหุ้น ของเรายังไม่ดีพอ
ความลำเอียงข้อสาม : ผมรู้แล้วว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้ นี่คือความลำเอียงว่าตนเองรู้มาก่อน หลังจากที่ได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว หรือพูดแบบกวนเล็กน้อยว่า เป็นเรื่องของการ “คาดการณ์อดีต” เช่น “ผมคิดอยู่แล้วว่าถ้าเหตุการณ์ยังเป็นอย่างนี้ ในที่สุดก็จะต้องมีการปฏิวัติ” แต่นี่เป็นการพูดในวันที่ 19 กันยายน 2549 หลังจากที่มีแถลงการณ์ของคณะปฏิวัติแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เห็นมีใครพูดเลย ความลำเอียงข้อนี้ที่ทำให้น่ากลัวก็เพราะว่า ถ้าเราคิดว่าเรามีความสามารถในการพยากรณ์สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว เราก็อาจจะคิดว่าเรามีความสามารถในการพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างแม่น ยำด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายสำหรับการลงทุน
ความลำเอียงข้อสี่ : ผมฟังเฉพาะที่ผมอยากฟังหรือผมรับรู้เฉพาะสิ่งที่ผมอยากรับรู้ และสิ่งที่คนอยากฟังก็คือสิ่งที่เขาเห็นด้วย คนอยากดูหรืออยากเห็นข้อมูลที่สอดคล้องกับความเชื่อหรือความเห็นของเขาและ มักจะปฏิเสธที่จะรับความเห็นที่แตกต่างหรือขัดแย้งกับความเชื่อของตน นี่คงเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึกที่คนเราพยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนเพื่อให้ รู้สึกว่าตนเอง “คิดถูกต้อง” เขาไม่อยากฟังสิ่งที่อาจจะทำให้เขารู้สึกว่าเขาคิดผิด แต่สำหรับนักลงทุนแล้ว เราควรจะต้องรับฟังข้อมูลและความเห็นต่าง ๆ ทุกด้านโดยเฉพาะข้อมูลที่แตกต่างจากความคิดของเรา ไม่ใช่ว่าเราจะต้องเชื่อ แต่มันจะช่วยเตือนให้เรามีความระมัดระวัง ไม่มั่นใจในตนเองมากเกินไป ว่าที่จริง ถ้า Value Investor ซื้อหุ้นตัวหนึ่งไว้แล้วด้วยเหตุผลที่ตนเองคิด เขาควรจะเลือกฟังความคิดเห็นที่แย้งกับความคิดของตนมากกว่าความคิดเห็นที่ เห็นด้วย เพราะคนที่ถือหุ้นตัวใดแล้ว เขาก็มีความลำเอียงที่จะรักหุ้นตัวนั้นมากกว่าปกติ ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อการตัดสินใจในอนาคต
ความลำเอียงข้อที่ห้า : การติดยึดกับตัวเลข ทั้ง ๆ ที่มันเป็นตัวเลขที่ไม่มีความหมายหรือไม่ได้อิงพื้นฐาน นี่เป็นเรื่องที่นักขายสินค้าแบบต่อรองรู้ดี เขารู้ว่า ถ้าเขาเปิดตัวเลขออกมาตัวหนึ่งแล้ว การต่อรองก็มักจะอิงกับตัวเลขนั้นบวกลบไม่มาก หรือถึงจะมากก็ยังห่างจากตัวเลขพื้นฐานจริง ๆ มากอยู่ดี ในเรื่องของหุ้นนั้นคงไม่ต้องบอกว่ามีตัวเลขมากมายที่เราอาจจะไปติดยึดโดย ที่มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพื้นฐานของกิจการเลย เช่น ราคาที่หุ้นเคยขึ้นไปสูงสุด ราคาที่ทำ IPO หรือแม้แต่ราคา “ต้นทุน” ของเรา Value Investor จะต้องพยายามไม่ติดยึดตัวเลขเหล่านั้น เช่น ถ้าจะขายหุ้นตัวไหน อย่าไปคิดว่าต้นทุนของเราเป็นเท่าไร เรากำไรหรือขาดทุนแค่ไหน การซื้อขายหุ้นควรจะอิงอยู่กับพื้นฐานของกิจการเป็นหลัก แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายนัก การศึกษาส่วนใหญ่พบว่า คนมักชอบขายหุ้นที่กำไรและเก็บหุ้นที่ขาดทุน ผมเองชอบขายหุ้นที่ขาดทุนและเก็บหุ้นที่กำไร ซึ่งก็คงไม่ดีทั้งคู่
ผม คงไม่ต้องพูดว่าความลำเอียงยังมีอีกมากมาย นักลงทุนจะต้องพยายามเรียนรู้ว่าตัวเองมีแนวโน้มที่จะลำเอียงในเรื่องไหนมาก และความลำเอียงนั้นอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายได้มากแค่ไหนและจะต้องคอย เตือนตัวเองตลอดเวลา นักลงทุนที่ดีนั้น จะต้องพยายามลดความลำเอียงให้เหลือน้อยเพื่อที่จะได้ใช้เหตุผลได้ถูกต้องมาก ขึ้นเรื่อย ๆ ในเรื่องของการลงทุนนั้น สิ่งที่ถูกก็คือถูก สิ่งที่ผิดก็คือผิด ผลลัพธ์ของคุณขึ้นอยู่กับว่าคุณถูกแค่ไหนและผิดแค่ไหน โชคนั้น เป็นเรื่องที่คุณไม่สามารถพึ่งพิงได้