เลขในใจ

คนที่คิดจะเป็นนักลงทุนอย่างจริงจังนั้น ในสมองควรจะหมั่นคิดอย่างสม่ำเสมอถึงเรื่องของไอเดียการลงทุน ไปไหนมาไหนก็ควรจะหมั่นสังเกตดูกิจกรรมต่างๆ ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการลงทุน นี่คือ การวิเคราะห์หุ้นในสไตล์ของ VALUE INVESTOR สมัครเล่นที่ไม่เสียเวลา ไม่ต้องใช้ความพยายาม และเป็นธรรมชาติ แต่ได้ผลดี ผมอยากเรียกมันว่า "การวิเคราะห์หุ้นในใจ" ในบางครั้ง เราต้องใช้ตัวเลขมาช่วยประกอบในการคิดหรือวิเคราะห์ แต่ตัวเลขทางการเงินนั้น ถ้าจะคิดกันอย่างถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ เราก็อาจจะต้องนั่งโต๊ะ และใช้เครื่องคิดเลขทำเป็นเรื่องเป็นราวแถมต้องรู้จักทฤษฎี หรือสูตรคำนวณต่างๆ ที่ซับซ้อนจนอาจทำให้เราหลงไปกับตัวเลขได้ ดังนั้นบ่อยๆ ครั้งที่ผมคิดเรื่องการลงทุนในใจ ผมจึงมักใช้ตัวเลข "ประมาณ" ซึ่งทำให้คิดได้ในใจ และต่อไปนี้ คือตัวเลขในใจบางส่วนที่นักลงทุนอาจจะนำไปใช้ได้ โดยที่ความถูกต้องของมันเพียงพอสำหรับการลงทุนส่วนตัว
ตัวเลขแรกที่ผมคิดว่านักลงทุนควรจะต้องรู้ และใช้มันเรื่อยๆ ก็คือ 72 นี่คือตัวเลขมหัศจรรย์ที่จะช่วยให้เรารู้ว่า เราจะมีเงินเป็นสองเท่าเมื่อไร ถ้าเรารู้หรือคาดได้ว่าเราจะได้ผลตอบแทนการลงทุนปีละกี่เปอร์เซ็นต์
ตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีเงิน 1 ล้านบาท และเราคิดว่าเราจะได้ผลตอบแทนประมาณปีละ 10% จากการลงทุนในกองทุนรวมหุ้น เราก็เอาตัวเลข 72 หารด้วย 10% ซึ่งจะได้เท่ากับ 7.2 นี่ก็แสดงว่าเงิน 1 ล้านบาทจะเพิ่มเป็น 2 เท่าหรือ 2 ล้านบาทในเวลา 7.2 ปี โดยที่ในระหว่างนั้น เราจะต้องไม่ถอนเงินมาใช้ และถ้ามีปันผลเราก็ต้องเอาปันผลไปซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มด้วย หรือสมมติว่าเราไม่ต้องการเสี่ยงลงทุนในหุ้น เราเอาเงินไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวซึ่งให้ดอกเบี้ยปีละ 5% แบบนี้เราก็คำนวณโดยการเอาเลข 72 ตั้งหารด้วย 5% ซึ่งจะได้เท่ากับ 14.4 ซึ่งก็แปลว่าเงิน 1 ล้านบาท ของเราจะกลายเป็น 2 ล้านบาท จะต้องใช้เวลา 14.4 ปี โดยที่ในระหว่างนั้น เราต้องไม่ถอนเงินมาใช้ และเมื่อได้ดอกเบี้ยมาก็ต้องเอาไปซื้อพันธบัตรเพิ่มด้วย
ความแตกต่างระหว่างการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นกับการลงทุนในพันธบัตรข้างต้นก็คือ การลงทุนในพันธบัตรนั้น เราค่อนข้างมั่นใจว่าภายใน 14.4 ปี เราจะมีเงินเป็นสองเท่าหรือ 2 ล้านค่อนข้างแน่นอนเพราะรัฐบาลให้ดอกเบี้ยแน่นอนปีละ 5% ไม่มีความเสี่ยง แต่ในการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นนั้น เราอาจจะได้ผลตอบแทนต่ำกว่าหรือสูงกว่า 10% ที่เราคาดก็ได้ แต่โอกาสที่เราจะได้เงินเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในเวลาประมาณ 7 ปีนั้นก็มีค่อนข้างสูง เพราะสถิติผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้นที่ผ่านมากว่า 30 ปีก็ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณปีละ 10% และโอกาสที่เงินต้นของเราจะลดลงเมื่อถือกองทุนติดต่อกัน 7 ปีก็มีค่อนข้างน้อยถึงน้อยมาก
การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง ดังนั้นเราจึงไม่ควรลงทุนในหุ้นทั้งหมด ควรมีการกระจายการลงทุนไปในทรัพย์สินอย่างอื่นเช่น พันธบัตรด้วย ทฤษฎีหนึ่งบอกว่า ถ้าเราอายุยังน้อย เราจะสามารถเสี่ยงได้มากกว่าคนอายุมาก เพราะถ้าเราพลาด เราก็ยังมีเวลาหาเงินเพิ่มเติมได้ สูตรหรือตัวเลขที่จะใช้เพื่อกำหนดเปอร์เซ็นต์การลงทุนในหุ้นแบบ "ประมาณ" นั้น บอกว่าให้เอา 80 ลบด้วยอายุปัจจุบันก็จะได้เปอร์เซ็นต์การลงทุนในหุ้น
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราอายุ 30 ปี เราก็เอา 80 ลบด้วย 30 ก็จะได้ 50 นั่นก็คือ เราควรลงทุนในหุ้นคิดเป็น 50% ของเงินทั้งหมดของเรา แต่ถ้าเราอายุ 50 ปีแล้ว เราก็ควรลงทุนโดยเอาตัวเลข 80-50 คือ 30% เท่านั้น และถ้าเราอายุ 80 ปีแล้ว เราก็เอา 80 ลบด้วย 80 ซึ่งก็คือ 0 นั่นคือ เราไม่ควรลงทุนในหุ้นเลย
สูตร 80 นี้ ดูๆ ก็เหมือนกับมีสมมติฐานว่าคนเราน่าจะมีอายุที่คาดหวังที่ 80 ปี คือ ตั้งไว้ว่าในวันที่เราตาย เราไม่ควรถือหุ้นเลย ดังนั้นจึงเอา 80 มาเป็นตัวตั้ง แต่เราอาจจะดัดแปลงให้เหมาะกับตัวเราได้ เช่น บางคนอาจจะกลัวความเสี่ยงมากกว่าปกติ อาจจะเอา 60 เป็นตัวตั้ง คือ คิดว่าเมื่อตัวเองเกษียณแล้วก็ไม่อยากจะถือหุ้นอีก ในกรณีนี้ ถ้าเขาอายุ 30 ปีในปัจจุบัน เขาก็จะเอา 60 ตั้งลบด้วย 30 ก็จะได้ว่าเขาจะลงทุนในหุ้นเพียง 30% เท่านั้น
ตัวเลขสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ ตัวเลขที่จะดูว่าเราควรจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นหรือไม่ หรือดูว่าภาวะตลาดหุ้นโดยทั่วไปแพงหรือถูก นี่เป็นตัวเลขที่ดูเป็น "ไอเดีย" คือ ดูประกอบกับการวิเคราะห์อย่างอื่นด้วย สูตรนี้เขาบอกว่า ให้เอาค่า PE ของตลาดหุ้นโดยรวม บวกกับ อัตราเงินเฟ้อ ถ้าได้ตัวเลขเกิน 20 ก็ถือว่าหุ้นโดยทั่วไปราคาแพง ยิ่งสูงกว่ามากก็ยิ่งแพงมาก แต่ถ้าต่ำกว่าก็ถือว่าหุ้นถูก ยิ่งต่ำกว่ามากก็ถือว่าถูกมาก ซึ่งจะทำให้เรา "เข้าตลาด" ได้อย่างสบายใจขึ้น ตัวอย่างเช่น ในช่วงปัจจุบัน ค่า PE ของตลาดเท่ากับ 12 เท่า อัตราเงินเฟ้อเท่ากับ 3% รวมกันเท่ากับ 15 ก็แปลว่าหุ้นถูก แต่นี่ก็เช่นเดียวกับเรื่องของสัดส่วนการลงทุนในหุ้น เราอาจจะอนุรักษนิยมกว่าปกติ ดังนั้น เราอาจจะตั้งว่า ค่า PE บวกอัตราเงินเฟ้อที่จะเรียกว่าหุ้นถูกนั้น จะต้องไม่เกิน 18 หรือ 15 ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราอนุรักษนิยมแค่ไหน
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงตัวอย่างของตัวเลขที่ง่าย และดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่อง "มหัศจรรย์" แต่ผมเองคิดว่ามันช่วยให้การ "คิดในใจ" ของผมมีประสิทธิภาพขึ้นมาก และสำหรับผมแล้ว การ "คิดในใจ" เป็นเรื่องที่สำคัญกว่าการคิดบนกระดาษ หรือหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ถ้าพูดถึงการลงทุน

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร