วิธีคำนวณผลตอบแทน

เรื่องของการลงทุนนั้น สิ่งที่เราต้องพูดถึงกันเป็นประจำก็คือ "ผลตอบแทนการลงทุน" เพราะนี่คือหัวใจสำคัญ ที่จะบอกว่านักลงทุนแต่ละคนประสบความสำเร็จแค่ไหน การวัดผลตอบแทนการลงทุน ถ้าวัดกันด้วยเม็ดเงินที่ลงทุนเพียงครั้งเดียว และในเวลาสั้นๆ ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก
ตัวอย่างเช่น ถ้าตอนต้นปีเรามีเงินลงทุน 1 ล้านบาท พอถึงปลายปีเงินกลายเป็น 1.1 ล้านบาท โดยที่เราไม่ได้ใส่เงินเพิ่มหรือเอาเงินออกมาจากการลงทุนเลย แบบนี้แปลว่าผลตอบแทนเท่ากับ 10% ต่อปี ซึ่งหาได้โดยการเอาจำนวนเงินปลายปีลบด้วยเงินต้นปีหารด้วยเงินตอนต้นปีคูณด้วยร้อย นี่ก็คือ การคำนวณหาผลตอบแทนพื้นฐานของ "ผลตอบแทนต่อปี" ที่เราใช้พูดถึงหรืออ้างอิงกันตลอด
นักลงทุนผู้มุ่งมั่นนั้นย่อมไม่ลงทุนเพียงปีเดียวและไม่วัดผลเพียงปีเดียว การลงทุนหลายปีนั้น ทำให้เราต้องวัดผลหลายปีแล้วนำมาหาค่า "ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี" เพื่อที่จะนำไปเปรียบเทียบกับค่าผลตอบแทนอ้างอิงต่างๆ ได้ แต่ "ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี" นี้มีวิธีคิดหลายวิธีซึ่งอาจจะให้ผลที่แตกต่างกันมากจนทำให้เราเข้าใจผิด นึกว่าเราทำผลงานได้ดี ทั้งที่ผลงานเราไม่ได้เรื่องก็เป็นได้ ลองมาดูกันว่ามีวิธีคิดผลตอบแทนเฉลี่ยแบบไหนบ้างและเราควรเลือกใช้วิธีไหน
วิธีที่ง่ายที่สุดแต่เป็นวิธีที่ไม่ดีเลย ก็คือ วิธีหาผลตอบแทนเฉลี่ยแบบเลขคณิต นี่คือการเอาผลตอบแทนแต่ละปีมารวมกัน แล้วหารด้วยจำนวนปี ยกตัวอย่างเช่น เริ่มต้นปีแรกเรามีเงินลงทุน 1 ล้านบาท พอถึงสิ้นปีแรกพอร์ตเราเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านบาท (ตัวเลขนี้รวมปันผลและมูลค่าหุ้นที่เราถืออยู่) เราคำนวณได้ว่าผลตอบแทนปีที่ 1 เท่ากับ 100% ตอนเริ่มปีที่ 2 เราไม่ได้เอาเงินออกเลยแต่ลงทุนต่อไปจนถึงสิ้นปีที่ 2 ปรากฏว่าเราขาดทุน มูลค่าพอร์ตกลับมาอยู่ที่ 1 ล้านบาท เราคำนวณหาค่าผลตอบแทนได้เท่ากับ 1 ลบด้วย 2 หารด้วย 2 คูณด้วย 100 ได้เท่ากับ ติดลบ 50%
ดังนั้น ถ้าเราหาค่าเฉลี่ยก็จะพบว่าผลตอบแทนต่อปีเท่ากับ 100-50 หารด้วย 2 เท่ากับ 25% ต่อปี ซึ่งดูแล้วก็เป็นตัวเลขที่ดีเยี่ยม แต่ถ้าดูของจริง ก็คือ หลังจากลงทุนมา 2 ปี เงินของเราก็ยังเท่าเดิมคือ 1 ล้านบาท ซึ่งแปลว่าเราไม่ได้ผลตอบแทนอะไรเลย ผลตอบแทนควรจะเป็น "ศูนย์เปอร์เซ็นต์ต่อปี" และนี่นำมาสู่วิธีการคิดผลตอบแทนที่ถูกต้องกว่าที่เราเรียกว่า "ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น"
ปัญหาของผลตอบแทนเฉลี่ยแบบเลขคณิต ก็คือ ผลตอบแทนของแต่ละปีที่ขึ้นๆ ลงๆ และเรื่องของเม็ดเงินลงทุนในแต่ละปีที่ไม่เท่ากัน เพราะเราเอาเงินที่กำไรในปีก่อนมา "ทบต้น" ลงไปอีก เช่นในปีแรกเราลงทุนเพียง 1 ล้านบาทและเราทำกำไรอีก 1 ล้านบาทหรือกำไร 100% กลายเป็น 2 ล้านบาท แต่ในปีที่ 2 แม้ว่าเราจะขาดทุนเพียง 50% แต่เราลงทุนถึง 2 ล้านบาท
ดังนั้น แม้จะขาดทุนเป็นเปอร์เซ็นต์น้อยกว่ากำไรที่ได้ในปีแรกถึงเท่าตัว แต่เม็ดเงินที่ใช้ก็มากกว่าถึงหนึ่งเท่าตัวเช่นกัน ผลก็คือ กำไรที่ได้มาในปีแรกหายหมด วิธีแก้ก็คือ เราต้องคำนวณโดยการสมมติเสมือนหนึ่งว่าเราได้ผลตอบแทนเท่ากันทุกปี และเงินที่ได้เพิ่มขึ้นมาในแต่ละปีไม่มีการนำออกไปใช้แต่ลงทุน "ทบต้น" ลงไปทุกปี ถ้าคิดแบบนี้แล้วผลตอบแทนจะเป็นอย่างไร?
ในกรณีของตัวอย่างก็คือ เรารู้ว่าลงทุนมา 2 ปี ผลตอบแทนเป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้น ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้นก็ต้องเป็น ศูนย์เปอร์เซ็นต์แน่นอน แต่ในกรณีอื่นๆ การหาผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นนั้น เราต้อง "ลองผิดลองถูก" ตัวอย่างเช่น เราลงทุนมา 3 ปี จาก 1 ล้านบาท กลายมาเป็น 1.6 ล้านบาท เท่ากับว่า 3 ปีได้เพิ่มขึ้น 60% ถ้าคิดแบบไม่ทบต้นเราก็จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 20% แต่ถ้าคิดแบบทบต้นเราจะต้องได้น้อยกว่านี้ (เสมอ)
สมมติว่าให้ได้ 16% ต่อปี ดังนั้นจบปีแรกพอร์ตของเราจะกลายเป็น 1.16 ล้านบาท ปีที่สองจาก 1.16 ล้านบาทผลตอบแทน 16% ก็จะกลายเป็น 1.35 ล้านบาท ปีที่สาม จาก 1.35 ล้านบาท โต 16% ก็จะกลายเป็น 1.56 ล้านบาท ซึ่งยังต่ำกว่า 1.6 ล้านบาท ที่เรามีอยู่ นั่นแปลว่าผลตอบแทนทบต้นของเราจะต้องมากกว่า 16% ต่อปี ดังนั้น เราลองสมมติใหม่เป็น 17% ต่อปี วิธีคิดก็แบบเดิม นั่นคือ เอา 1 คูณด้วย 1.17 สามครั้งซึ่งได้เท่ากับ 1.6 ล้านพอดี
ดังนั้นคำตอบก็คือ เราได้ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยต่อปี 17% ผมอธิบายมายืดยาวเพื่อให้รู้ความหมาย แต่วิธีคำนวณหาผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้นต่อปีนั้น จริงๆ แล้วสามารถคำนวณได้ง่ายๆ จากเครื่องคิดเลขทางการเงินราคาไม่แพง
ปัญหาต่อมาสำหรับนักลงทุนก็คือ เรามักจะมีการ "เพิ่มเงินลงทุน" เนื่องจากเรามีเงินเหลือจากรายได้อื่น เช่นจากเงินเดือนหรือโบนัส หรือในบางครั้งเราอาจจะเอาเงินออกหรือ "ถอนเงินลงทุน" บางส่วนเพื่อไปใช้อย่างอื่น เราจะทำอย่างไร? วิธีของผมก็คือ เอาง่ายๆ ให้คิดว่าเงินทุกบาทที่เข้าหรือออกให้คิดเสมือนว่า เกิดขึ้นในช่วงต้นปีของปีที่มีเงินเข้าหรือออกนั้น และก็คิดผลตอบแทนไปตามปกติ นั่นก็คือ ผลตอบแทนต่อปีเท่ากับมูลค่าพอร์ตปลายปีลบต้นปีหารด้วยพอร์ตตอนต้นปีคูณด้วยร้อย
วิธีนี้อาจทำให้ตัวเลขผลตอบแทนคลาดเคลื่อนบ้าง แต่ในระยะยาวแล้ว ก็มักจะไม่เปลี่ยนแปลงภาพรวมของผลตอบแทนอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถ้ามีกรณีการเพิ่มเงินหรือถอนเงิน เวลาจะคำนวณหาค่าผลตอบแทนเฉลี่ยแบบทบต้น ควรจะต้องปรับมูลค่าของพอร์ตให้เริ่มจากฐาน 100 ในปีแรกแทนที่จะเป็นตัวเลขเม็ดเงินเป็นบาท ซึ่งจะทำให้การคำนวณง่ายขึ้น
วิธีคำนวณแบบที่ผมใช้นี้ เป็นวิธีหนึ่งและอาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดแต่เป็นวิธีที่น่าจะ "ประมาณว่าถูก" และเพียงพอในทางปฏิบัติ การใช้วิธีที่ซับซ้อนเกินไปอาจจะทำให้เราสับสนและพลาดจาก "ภาพใหญ่" ที่ว่า ผลการลงทุนของเรานั้นเป็นอย่างไรในช่วงเวลาที่ยาวนาน

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘