การวัด “แคลอรี”
“แคลอรี” เป็นหน่วยวัดพลังงานความร้อนที่นิยมใช้กันในหมู่นักโภชนาการและสรีรวิทยา ที่เรียกกันว่าแคลอรีเฉย ๆ นั้นปกติจะต้องใช้หน่วยเป็นกิโลแคลอรี ซึ่งมีค่าเท่ากับ ๑,๐๐๐ แคลอรี กิโลแคลอรี (Kcal) หมายถึง ปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำ ๑ ลิตรมีอุณหภูมิสูงขึ้น ๑ oC (จาก ๑๕ oC เป็น ๑๖ oC)
นักวิทยาศาสตร์นายหนึ่งชื่อ แอตวอเตอร์ ค้นคว้าทดลองพบว่า คนเราต้องการพลังงานประมาณ ๒,๔๐๐ กิโลแคลอรีต่อวัน ปัญหาต่อมาจึงอยู่ที่ว่า อาหารแต่ละชนิดนั้นให้พลังงานเป็นจำนวนเท่าไร เพื่อที่เราจะสามารถจัดตารางอาหารและสูตรอาหารที่เหมาะสำหรับความต้องการของ ร่างกาย
นักวิทยาศาสตร์สร้างอุปกรณ์เรียกว่า “บอมบ์แคลอรีมิเตอร์” ซึ่งประกอบด้วยภาชนะที่สามารถปิดได้สนิท ภายในที่ใช้บรรจุถาดอาหารจะมีออกซิเจนอยู่ด้วย ภายนอกล้อมรอบด้วยน้ำและมีอากาศเป็นฉนวนป้องกันอีกชั้นหนึ่ง มีลวดไฟฟ้าต่อโดยตรงกับถาดอาหาร หลังจากปล่อยกระแสไฟฟ้าภายใต้ความดันสูง อาหารจะถูกเผาไหม้จนหมด ความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้จะถูกปล่อยออกมาสู่น้ำที่ล้อมรอบ เมื่อเราวัดอุณหภูมิของน้ำที่เปลี่ยนแปลงไปจากเทอร์โมมิเตอร์ที่จุ่มอยู่นำ มาคำนวณก็จะได้ค่าพลังงานความร้อนของอาหารชนิดนั้น
จากการทดลองหลาย ๆ ครั้ง นักวิทยาศาสตร์ได้ค่าพลังงานความร้อนของสารอาหารหลัก ๓ ประเภท คือ โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต ว่ามีค่าเท่ากับ ๔ Kcal/g, ๙ Kcal/g และ ๔ Kcal/g ตามลำดับ เรียกค่าที่ว่านี้ว่า “แอตวอเตอร์แฟกเตอร์” การหาค่านี้ได้ทำให้สามารถคำนวณหาค่าพลังงานความร้อนจากอาหารชนิดต่าง ๆ ได้สะดวกขึ้น แทนที่จะต้องแบกหม้อ “บอมบ์แคลอรีมิเตอร์” พะรุงพะรังเข้าไปในร้านอาหาร
ในทางปฏิบัติ นักโภชนาการจะใช้ข้อมูลจากตารางการวิเคราะห์อาหาร ตารางเหล่านี้บอกให้รู้ถึงปริมาณคาร์โบไฮเดรตโปรตีน ไขมัน ที่มีอยู่ในอาหารแต่ละชนิด จากนั้นจะนำมาคูณกับค่าแอตวอเตอร์แฟกเตอร์ ก็จะเป็นค่าพลังงานของอาหารชนิดนั้น ๆ ว่ามีกี่แคลอรี นอกจากนั้นนักโภชนาการยังได้ทำเป็นตารางเทียบค่าแคลอรีของอาหารแต่ละชนิด ซึ่งคนทั่วไปสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างสะดวกที่สุด เช่น ในตารางจะบอกว่า ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ๑ จานมีกี่แคลอรี สลัดผัก ๑ จาน เท่ากับกี่แคลอรี เป็นต้น
นักวิทยาศาสตร์นายหนึ่งชื่อ แอตวอเตอร์ ค้นคว้าทดลองพบว่า คนเราต้องการพลังงานประมาณ ๒,๔๐๐ กิโลแคลอรีต่อวัน ปัญหาต่อมาจึงอยู่ที่ว่า อาหารแต่ละชนิดนั้นให้พลังงานเป็นจำนวนเท่าไร เพื่อที่เราจะสามารถจัดตารางอาหารและสูตรอาหารที่เหมาะสำหรับความต้องการของ ร่างกาย
นักวิทยาศาสตร์สร้างอุปกรณ์เรียกว่า “บอมบ์แคลอรีมิเตอร์” ซึ่งประกอบด้วยภาชนะที่สามารถปิดได้สนิท ภายในที่ใช้บรรจุถาดอาหารจะมีออกซิเจนอยู่ด้วย ภายนอกล้อมรอบด้วยน้ำและมีอากาศเป็นฉนวนป้องกันอีกชั้นหนึ่ง มีลวดไฟฟ้าต่อโดยตรงกับถาดอาหาร หลังจากปล่อยกระแสไฟฟ้าภายใต้ความดันสูง อาหารจะถูกเผาไหม้จนหมด ความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้จะถูกปล่อยออกมาสู่น้ำที่ล้อมรอบ เมื่อเราวัดอุณหภูมิของน้ำที่เปลี่ยนแปลงไปจากเทอร์โมมิเตอร์ที่จุ่มอยู่นำ มาคำนวณก็จะได้ค่าพลังงานความร้อนของอาหารชนิดนั้น
จากการทดลองหลาย ๆ ครั้ง นักวิทยาศาสตร์ได้ค่าพลังงานความร้อนของสารอาหารหลัก ๓ ประเภท คือ โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต ว่ามีค่าเท่ากับ ๔ Kcal/g, ๙ Kcal/g และ ๔ Kcal/g ตามลำดับ เรียกค่าที่ว่านี้ว่า “แอตวอเตอร์แฟกเตอร์” การหาค่านี้ได้ทำให้สามารถคำนวณหาค่าพลังงานความร้อนจากอาหารชนิดต่าง ๆ ได้สะดวกขึ้น แทนที่จะต้องแบกหม้อ “บอมบ์แคลอรีมิเตอร์” พะรุงพะรังเข้าไปในร้านอาหาร
ในทางปฏิบัติ นักโภชนาการจะใช้ข้อมูลจากตารางการวิเคราะห์อาหาร ตารางเหล่านี้บอกให้รู้ถึงปริมาณคาร์โบไฮเดรตโปรตีน ไขมัน ที่มีอยู่ในอาหารแต่ละชนิด จากนั้นจะนำมาคูณกับค่าแอตวอเตอร์แฟกเตอร์ ก็จะเป็นค่าพลังงานของอาหารชนิดนั้น ๆ ว่ามีกี่แคลอรี นอกจากนั้นนักโภชนาการยังได้ทำเป็นตารางเทียบค่าแคลอรีของอาหารแต่ละชนิด ซึ่งคนทั่วไปสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างสะดวกที่สุด เช่น ในตารางจะบอกว่า ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ๑ จานมีกี่แคลอรี สลัดผัก ๑ จาน เท่ากับกี่แคลอรี เป็นต้น