สามัญญผล อานิสงส์ของความเป็นสมณะ
คำว่า “สามัญญผล” ในสามัญญผลสูตร หมายถึง ผลหรืออานิสงส์ของความเป็นสมณะ หรือผลดีของ
การเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ผู้ครองชีวิตเป็นนักบวชที่บริบูรณ์บริสุทธิ์อย่างแท้จริงในพระพุทธศาสนา
นั้นย่อมได้รับอานิสงส์มากมายนานัปการ
ตามธรรมดาของสิ่งต่างๆในโลกนี้ สิ่งใดมีคุณอนันต์ สิ่งนั้นมักจะมีโทษมหันต์แฝงอยู่เป็นของควบคู่กัน
แต่การเป็นนักบวชที่บริบูรณ์บริสุทธิ์อย่างแท้จริงในพระพุทธศาสนา จะบังเกิดแต่ผลดีเท่านั้น ไม่มีผลร้ายหรือ
โทษเลย
ผลดีที่นักบวชจะพึงได้รับนั้น ย่อมเกิดขึ้นโดยลำดับ ที่เห็นได้ชัดเจนในทันทีก็คือ การได้รับความเคารพ
ยกย่องจากบุคคลโดยทั้วไป นอกจากนี้ การเป็นนักบวชยังทำให้เป็นผู้มีความสงบกาย วาจา ใจ มีสติสัมปชัญญะ
มีปัญญาพิจารณาไตร่ตรองเรื่องต่างๆ รอบคอบขึ้น มีความเข้าใจเรื่องโลกและชีวิตอย่างแท้จริง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำ
ให้นักบวชสามารถเป็นกัลยาญมิตรให้กับตนเอง เพื่อการครองชีวิตโดยถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ไม่ตกอยู่ใต้
อำนาจกิเลส และยังสามารถเป็นกัลยาณมิตรให้กับผู้อื่น คือเป็นผู้ชี้ทางที่ถูกต้องดีงามให้แก่บุคคลรอบข้างและ
ชาวโลกได้อีกด้วย การเป็นนักบวชย่อมจะได้รับแต่ผลดียิ่งๆขึ้นไปเช่นนี้ จนกระทั่งบรรลุถึงผลขั้นสูงสุด คือ
มรรคผลนิพพาน
หากยังไม่สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานในชาตินี้ได้ ประสบการณ์ และบุญกุศลทั้งปวงที่นักบวชได้บำเพ็ญ
ไว้ในปัจจุบันชาติก็ไม่สูญเปล่า ย่อมสั่งสมไว้เป็นรากฐานหรือกองทุนเพื่อรอเวลาออกผลในภพชาติต่อๆไป สมดัง
พุทธภาษิตที่ว่า
“แม้หม้อน้ำ ย่อมเต็มได้ด้วยหยาดน้ำที่ตกทีละหยด ฉันใด ผู้มีปัญญาสั่งสมบุญทีละน้อย
ย่อมเต็มไปด้วยบุญ ฉันนั้น”
เมื่อบุญเต็มเปี่ยมแล้ว ย่อมเป็นเหตุให้ได้บรรลบุนิพพาน อันเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา
ความย่อ
ในปลายสมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับ ณ สวนอัมวันของหมอชีวกโกมารภัจจ์ ในเขตกรุง
ราชคฤห์ เมืองหลวงของแคว้นมคธ ครั้งนั้นพระเจ้าอชาตศัตรู พระเจ้าแผ่นดินแคว้นมคธ ได้เสด็จไปเฝ้าพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อกราบทูลถามปัญหาซึ่งค้างพระทัยพระองค์มานาน
ปัญหานั้นคือ “สมณพราหมณ์ หรือผู้ที่เป็นนักบวชทั้งหลายนั้น ได้รับประโยชน์อะไรจากการบวช ที่สามารถ
เห็นประจักษ์ในปัจจุบันชาติบ้าง”ทั้งได้กราบทูลด้วยว่า ก่อนหน้านี้พระองค์ได้เคยเสด็จไปถามครูเจ้าลัทธิทั้ง 6
ท่าน ซึ่งมีชื่อเสียงมากในยุคนั้นมาแล้ว แต่ได้รับคำตอบที่ไม่กระจ่างแจ้ง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงประโยชน์ หรือคุณค่าของการบวชตั้งแต่ประการแรกสุด ซึ่งจัดเป็น
สามัญญผลเบื้องต้น คือการยกฐานะของผู้บวชเอง โดยเปลี่ยนจากสถานภาพเดิมไปสู่สถานภาพของบุคคลที่
ควรแก่การบูชากราบไหว้ เรื่อยขึ้นไปจนถึงสามัญญผลเบื้องกลาง อันได้แก่การบรรลุสมาธิในระดับต่างๆ
ตั้งแต่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ซึ่งล้วนทำให้จิตใจมั่นคงและสงบสุข และสามัญญผล
เบื้องสูงคือการบรรลุวิชชา 8 อันได้แก่ วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธี ทิพยโสต เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสา
นุสสติญาณ จุตูปปาตญาณและ อาสวักขยญาณ ตามลำดับ
ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสถึงสามัญญผลเบื้องกลางและเบื้องสูงนั้น ได้ทรงแสดงถึงข้อปฏิบัติ
ที่นักบวชต้องปฏิบัติให้บริบูรณ์บริสุทธิ์ เพื่อการบรรลุสามัญญผลแต่ละขั้น ข้อปฏิบัติสำคัญที่ทรงแสดงไว้
ในพระสูตรนี้คือ
“การถึงพร้อมด้วยศีล การคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย การมีสติสัมปชัญญะ การเป็นผู้
สันโดษ และการเจริญภาวนา”
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเทศนาจบลงพระเจ้าอชาตศัตรูทรงปฏิญาณพระองค์เป็นอุบสก ขอถึงพระ
รัตนตรัย เป็นที่พึ่งตลอดพระชนม์ชีพ ทั้งกราบทูลขอขมาในการที่ปลงพระชนม์ชีพพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็น
พระราชบิดา ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสรับการขอขมานั้น
เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จกลับไปแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ถ้าพระเจ้า
อชาตศัตรูไม่ได้ปลงพระชนม์พระราชบิดา ก็จะต้องได้บรรลุธรรม เป็นพระโสดาบันในค่ำคืนนี้
ผู้มีส่วนแห่งสามัญญผล
หรือผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการบวช
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ยึดถือ “เหตุ” และ “ผล” เป็นหัวใจสำคัญ สามัญญผลอันจะบังเกิดแก่นักบวช
นั้น ใช้ว่าจะมีเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ดลบันดาลให้เกิดขึ้นก็หาไม่ นักบวชจะต้องประกอบเหตุด้วยตนเอง
จึงจะได้รับผลเป็นของตน เมื่อประกอบเหตุดี ย่อมจะต้องได้รับผลดี ดังพุทธภาษิตที่ว่า
“หว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น”
ในสามัญญผลสูตรนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงกำหนดข้อปฏิบัติอันเป็นทางแห่งการบรรลุมรรคผลไว้
อย่างชัดเจน ถ้านักบวชรูปใดปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่มีขาดตกบกพร่อง ไม่มีการพลิกแพลงดัดแปลงการ
ปฏิบัติให้ผิดเพื้ยนแตกต่างออกไป เพื่ออนุโลมตามความสะดวกหรือความพอใจของตน ก็ถือได้ว่าประกอบเหตุดี
ดังนั้น ผลดีคือสามัญญผลอันประณีต ก็ย่อมจะบังเกิดขึ้นแก่นักบวชผู้นั้น ตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ดีแล้ว
อย่างแน่นอน
นักบวชผู้มีส่วนแห่งสามัญญผล หรือผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการบวช จึงจำเป็นต้องขวนขวายในการ
ประกอบเหตุดี นำข้อวัตรปฏิบัติในพระธรรมวินัยมาเป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจัง มิใช่เพียงแค่จำ
พระคัมภีร์ หรือแตกฉานในพระไตรปิฏกแต่มิได้นำมาปฏิบัติ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว นักบวชย่อมไม่ได้รับผลดีอันใด
แก่ตนเลย ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า
“ หากกล่าวพุทธพจน์ได้มาก แต่เป็นคนประมาท ไม่ทำตามพุทธพจน์นั้น ก็ไม่มีส่วนแห่ง
สามัญญผล เหมือนคนเลี้ยงโค คอยนับโคให้ผู้อื่นฉะนั้น”
พุทธศาสนสุภาษิตนี้มีความหมายว่า บุคคลที่สามารถจำพระธรรมคำสั่งสอนได้มากแต่ไม่ประพฤติธรรมนั้น
เปรียบเหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโค รุ่งเช้าก็รับโคไปเลี้ยง เย็นลงก็นับโคไปส่งคืน แต่ไม่เคยได้ลิ้มรสนมโคหรือ
ผลิตภัณฑ์จากโคนมเลย เทียบได้กับผู้รู้ธรรมมาก แสดงธรรมได้มาก มีชื่อเสียงมาก แต่หากมิได้นำหลักธรรมไป
ปฏิบัติ ก็ย่อมไม่มีโอกาสบรรลุผลนิพานได้เลย