มงคลที่ ๑๗ สงเคราะห์ญาติ - รอดตาย...เพราะอาศัยญาติ


มงคลที่ ๑๗

สงเคราะห์ญาติ
รอดตาย...เพราะอาศัยญาติ
ดูก่อนต้นรังผู้เป็นเจ้าแห่งป่า ภุมมเทวาผู้สิงสถิตอยู่ในที่นี้ ท่านเป็นผู้ปรารถนาประโยชน์แก่หมู่ญาติ ดูก่อนสหาย ข้าพเจ้าให้อภัยแก่ท่าน เชิญท่านไปเถิด ขอท่านผู้มีหมู่ญาติแวดล้อม ได้รับสักการะ ได้รับความเคารพ ดำรงชีพเป็นสุขเถิด

ใจของเราดวงเดียวนี้ แม้จะมีพื้นที่มากเพียงพอให้เราบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างเก็บไว้ได้ แต่จะดีกว่าไหม ถ้าจะเลือกสรรบันทึกแต่ภาพที่ดีงามไว้ในใจ เพราะภาพในใจที่เกิดขึ้นนั้น ย่อมส่งผลต่อชีวิตเราอย่างแน่นอน ขอให้เรามีชีวิตอยู่กับความดี เพื่อให้ใจดวงเดียวนี้มีแต่ภาพที่ดีเก็บไว้ สักวันหนึ่ง หากเราต้องจากโลกนี้ไป ภาพในใจจะเป็นสิ่งที่เราภาคภูมิใจไปตลอดกาล เพราะใจเรานั้น เป็นอมตธาตุที่บริสุทธิ์ดีงามเสมอ
มีวาระพระบาลีที่ท่านกล่าวไว้ใน ภัททชาดก ว่า

ดูก่อนต้นรังผู้เป็นเจ้าแห่งป่า ภุมมเทวาผู้สิงสถิตอยู่ในที่นี้ ท่านเป็นผู้ปรารถนาประโยชน์แก่หมู่ญาติ ดูก่อนสหาย ข้าพเจ้าให้อภัยแก่ท่าน เชิญท่านไปเถิด ขอท่านผู้มีหมู่ญาติแวดล้อม ได้รับสักการะ ได้รับความเคารพ ดำรงชีพเป็นสุขเถิดŽ

การสงเคราะห์ญาติมิตร เป็นมงคลในชีวิต เพราะตามธรรมดาแล้ว ไม่มีผู้ใดอยู่ตามลำพังในโลกนี้ โดยไม่ต้องอาศัยคนอื่น หรือสิ่งอื่น อย่างน้อยที่สุด เราต้องอาศัยบิดามารดา ตลอดจนญาติสนิทมิตรสหาย และยังต้องอาศัยสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย จึงจะได้รับความสะดวกสบายในการดำรงชีวิตอยู่ รวมทั้งการสร้างบารมีด้วย ดังนั้น การสงเคราะห์ญาติจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้

แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องสงเคราะห์ญาติเช่นกัน *ในครั้งที่พระเจ้าวิฑูฑภะไม่พอพระทัยพระญาติของพระองค์ที่เคยดูถูกดูหมิ่น เมื่อมีโอกาสจึงยกกองทัพจะมาทำลายเจ้าศากยะ พระบรมศาสดาได้เสด็จมาห้ามถึง ๓ ครั้ง แต่ในครั้งที่ ๔ ทรงตรวจดูบุพกรรมของศากยวงศ์ว่า เคยทำกรรมหนัก เพราะในอดีตได้โปรยยาพิษลงในแม่น้ำ เป็นเหตุให้ผู้คนล้มตายมากมาย พระองค์จึงไม่เสด็จไปในครั้งที่ ๔ แต่ใน ๓ ครั้งแรกนั้น ทรงทำหน้าที่ในการสงเคราะห์พระญาติอย่างเต็มที่ ทำให้พระเจ้า วิฑูฑภะมีพระทัยอ่อนลง

เมื่อพระศาสดากลับจากการเสด็จในครั้งที่ ๓ รุ่งขึ้นทรงเสด็จไปโปรดสัตว์ ครั้นเสวยภัตตาหารแล้ว พระองค์เสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี ถึงเวลาเย็นพวกภิกษุได้ประชุมกันในธรรมสภา ต่างกล่าวแถลงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระศาสดา ทรงแสดงพระองค์ให้พระราชากลับพระทัย ทรงเปลื้องหมู่ญาติจากมรณภัย ทรงประพฤติประโยชน์แก่หมู่พระญาติทั้งปวงŽ พระศาสดาเสด็จมาถึงทรงตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรŽ เมื่อพวกภิกษุกราบทูลเรื่องราวแล้ว พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ตถาคตประพฤติประโยชน์แก่หมู่ญาติ แม้ในครั้งก่อนก็ได้ประพฤติแล้วเช่นกันŽ ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอาราธนาให้ตรัสเล่าถึงเรื่องในอดีต พระพุทธองค์จึงทรงนำอดีตนิทานมาเล่าให้ฟังว่า

ในอดีตกาล ครั้งพระราชาทรงพระนามว่าพรหมทัต มิได้ทรงละเมิดทศพิธราชธรรม ดำรงอยู่โดยธรรมในพระนครพาราณสี วันหนึ่ง ทรงพระดำริว่า บรรดาพระราชาในพื้น ชมพูทวีป พากันอยู่ในปรางค์ปราสาทมีเสามาก เหตุนั้นการสร้างปราสาทด้วยเสามากๆ จึงไม่เป็นของอัศจรรย์ ถ้าเช่นนั้น เราจะลองสร้างปราสาทเสาเดียวดูบ้าง ด้วยเหตุนี้เราคงเป็นพระราชาผู้เลิศกว่าใครๆŽ พระราชาจึงมีรับสั่งเรียกช่างไม้มาเฝ้า พลางตรัสว่า พวกเจ้าจงสร้างปราสาทเสาเดียว ให้ถึงความงาม เลิศวิจิตรแก่เราŽ

ช่างไม้เหล่านั้นพากันเข้าป่า พวกเขาพบต้นไม้ทั้งตรงทั้งใหญ่ เหมาะที่จะสร้างปราสาทเสาเดียวมาก ครั้นสำรวจเส้นทางที่จะนำต้นไม้เหล่านี้ไป ก็หนักใจ เพราะเส้นทางไม่สะดวก จึงพากันไปกราบทูลพระราชา พระราชาได้ตรัสถามว่า จะหาวิธีการอื่นๆ ที่จะนำมาไม่ได้หรือŽ เมื่อหมดหนทาง จึงตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น จงสำรวจดูต้นไม้ต้นหนึ่งในอุทยานของเราสิŽ พวกช่างไม้พากันไปยังอุทยาน เห็นต้นรังอันเป็นมิ่งมงคลต้นหนึ่ง ลำต้นตรง เป็นที่สักการบูชาของชาวบ้าน แม้แต่ราชนิกุลก็ไปสักการบูชาทำพลีกรรม จึงไปทูลขอต้นรังนั้นกับพระราชา

พระราชาตรัสว่า ธรรมดาต้นไม้ในอุทยานเรา ย่อมเป็นของเรา ไปเถิด พวกท่านจงไปโค่นต้นไม้นั้นเถิดŽ ช่างไม้เหล่านั้นจึงพากันไปยังอุทยานพร้อมกับถือของหอมและดอกไม้ พวกเขาต่างเจิมแป้งหอมที่ต้นไม้ วงด้ายห้อยพวงดอกไม้ และจุดประทีป ทำพลีกรรม ร้องบอกเหล่าภุมมเทวาว่า ในวันที่ ๗ จากวันนี้ พวกเราจะมาตัดต้นไม้ ซึ่งพระราชาทรงอนุญาตแล้ว ขอเชิญเทพยดาผู้บังเกิด ณ ต้นไม้นี้ ไปอาศัยอยู่ที่อื่นเถิดŽ

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นเทพยดาเกิดที่ต้นไม้นั้น ได้ฟังถ้อยคำดังนั้นแล้ว คิดว่า ช่างไม้เหล่านี้คงจะตัดต้นไม้นี้แน่ และวิมานของเราจักต้องฉิบหาย ชีวิตของเราก็จะสุดสิ้น รวมทั้งวิมานอีกมากที่ล้อมรอบเรา ก็จักต้องฉิบหายด้วย ความวินาศของเราจะไม่เบียดเบียนเฉพาะเรา แต่จะเบียดเบียนหมู่ญาติด้วย เหตุนี้ ควรที่เราจะให้ชีวิตแก่หมู่ญาติเหล่านั้นŽ ครั้นเวลากลางคืน พระโพธิสัตว์ประดับกายด้วยเครื่องอลังการอันเป็นทิพย์ เข้าไปห้องบรรทมของพระราชา และยืนร้องไห้อยู่ ณ เบื้องพระเศียรพระราชา

พระราชาทอดพระเนตรเห็นเทวดาพระโพธิสัตว์ ทรงตระหนกพระทัย ตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร มายืนอยู่บนอากาศร้องไห้ทำไม ภัยมาถึงท่านแต่ที่ไหนŽ เทวดาพระโพธิสัตว์ฟัง พระดำรัสนั้นแล้ว กราบทูลว่า เมื่อหม่อมฉันได้รับการบูชาอยู่ ๖๐,๐๐๐ ปี ชนทั้งหลายรู้จักหม่อมฉันว่า ภัททสาละ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ในทิศ เมื่อพระราชาพระองค์ก่อนสร้างพระนคร อาคารและปราสาทต่างๆ นั้น พระราชาเหล่านั้นบูชาหม่อมฉัน ฉันใด แม้พระองค์ก็จงบูชาหม่อมฉัน ฉันนั้นเถิด ความเจริญจะมีแก่ราชสำนักและประชาราษฎร์Ž พระราชาตรัสว่า ก็ข้ามิได้เห็นต้นไม้อื่นๆ ที่จะใหญ่โตเช่นท่าน ท่านเป็นไม้งามเหมาะสมทุกประการ ข้าจะให้นายช่างทำปราสาทมีเสาเดียว และจะเชื้อเชิญท่านมาอยู่ที่ปราสาท ชีวิตของท่านก็จักยั่งยืนŽ

เทวดาพระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ถ้าพระองค์ทรงดำริดังนี้แล้ว ขอจงตัดหม่อมฉันทำเป็นท่อนๆ เถิด จงตัดที่ปลายก่อน แล้วตัดท่อนกลาง ภายหลังจึงตัดที่โคน เมื่อหม่อมฉันถูกตัดเช่นนี้ ก็จะถึงความตายอย่างแน่นอนŽ พระราชาตรัสว่า ราชบุรุษ ตัดมือเท้า หู และจมูก ภายหลังจึงตัดศีรษะของโจร ความตายนั้นชื่อว่า ตายเป็นทุกข์ ดูก่อนต้นรังผู้เป็นเจ้าป่า เขาตัดเป็นท่อนๆ เป็นสุขหรือหนอ ท่านมีเหตุอะไรจึงปรารถนาให้ตัดเป็นท่อนๆ

เทวดาไม้รังงามกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช หม่อมฉันยึดมั่นเหตุอันประกอบด้วยธรรม จึงปรารถนาให้ตัดเป็นท่อนๆ เพราะหมู่ญาติของหม่อมฉัน เจริญอยู่ด้วยความสุข เกิดใกล้ ต้นรังข้างหม่อมฉัน เมื่อต้นรังใหญ่ถูกตัด ก็พึงเข้าไปเบียดเบียน หมู่ญาติเหล่านั้นให้ล้มลงด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันชื่อว่า เข้าไปทำความทุกข์ให้เกิดแก่คนเหล่าอื่น เหตุนั้นหม่อมฉันจึงปรารถนาให้ตัดเป็นท่อนๆ Ž

พระราชาทรงยินดีว่า เทวบุตรนี้เป็นผู้ดำรงธรรม มิได้ปรารถนาจะทำลายวิมานของหมู่ญาติ ได้ประพฤติประโยชน์แก่หมู่ญาติ เราต้องให้อภัยแก่เธอŽ จึงตรัสรับรองว่า ดูก่อน ต้นรังผู้เป็นเจ้าแห่งป่า ท่านย่อมคิดสิ่งที่ควรคิด ท่านเป็นผู้ปรารถนาประโยชน์แก่หมู่ญาติ ดูก่อนสหาย ข้าพเจ้าให้อภัยแก่ท่าน ข้าพเจ้าไม่ต้องการปราสาทแล้ว ข้าพเจ้าจักไม่ให้เขาโค่นต้นไม้นั้น เชิญท่านไปเถิด ขอท่านผู้มีหมู่ญาติแวดล้อม ได้รับสักการะ ได้รับความเคารพ ดำรงชีพเป็นสุขเถิดŽ เทวดาพระโพธิสัตว์แสดงธรรมถวายพระราชา แล้วลากลับไป ส่วนพระราชา ทรงดำรงพระองค์อยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ ทรงทำบุญ มีถวายทาน ทรงทำทางสวรรค์ให้เกิดขึ้น

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาตรัสย้ำว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน ตถาคตก็ได้ประพฤติญาตัตถจริยาŽ จากนั้นทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ เหล่าภุมมเทวาผู้เกิดโดยรอบไม้รังได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนภัททสาลเทวราช ได้มาเป็นพระตถาคตเจ้า

เราจะเห็นว่า การสงเคราะห์ญาตินั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในชีวิตพวกเรา เพราะหมู่ญาติจะเป็นที่พึ่งเป็นทั้งบริวาร และสหายธรรมในการทำความดี เมื่อเราสงเคราะห์ญาติ ญาติก็จะสงเคราะห์เราเช่นกัน เมื่อต่างสงเคราะห์กันและกันอย่างนี้ โลกจะมีความสุขและดำรงอยู่ต่อไปได้ เหมือนรถมีตัวรถ มีล้อ แอก เพลา คํ้าจุนกันไป

พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้เราสงเคราะห์กัน ด้วยการให้ ด้วยคำพูดที่ไพเราะ ด้วยการประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และการทำตัวให้เสมอต้นเสมอปลายในคุณธรรมความดีต่างๆ เมื่อทำได้เช่นนี้ สันติสุขจะบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน สันติสุขจะเกิดขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วนั้น ต้องเกิดจากใจที่มีความปรารถนาดี เกิดจากใจที่หยุดนิ่ง ดังนั้น ให้เราหมั่นทำใจให้หยุดนิ่งกัน ทุกๆ คน เพื่อทำโลกของเราให้มีแต่ความสงบสุข ร่มเย็นตลอดไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
*มก. ภัททสาลชาดก เลˆ่ม ๖๐ หน้‰า ๑๐๙

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘