บทที่ 6.3 : บรรพชา
คำว่า “บรรพชา” โดยรากศัพท์เดิมแปลว่า เว้นความชั่วทุกอย่าง หรือการทำให้ถึงซึ่งความเป็นผู้ประเสริฐ
แต่เดิมที่เดียวคำว่า “บรรพชา” หมายความว่า บวช เช่น สิทธัตถราชกุมารเสด็จออกบรรพชาเป็นต้น แต่ใน
ปัจจุบันคำว่า “บรรพชา” หมายถึงบวชเป็นสามเณร ถ้าบวชเป็นภิกษุใช้คำว่า “อุปสมบท” และมักจะใช้
ควบกันว่า “บรรพชาอุปสมบท” หรือโดยทั่วไปมักนิยมพูดกันว่า “บวช” เมื่อบวชแล้วก็ได้ชื่อว่า “บรรพชิต”
บรรพชิตทั้งหลายที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ก็เพื่อเว้นความชั่วทุกอย่าง ในขณะเดียวกันก็ต้องพยายาม
ปฏิบัติตนให้ถึงซึ่งความเป็นผู้ประเสริฐ ด้วยการสร้างบุญกุศลทั้งปวงให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง” นั้นหมายความว่า บรรพชิตหรือพระภิกษุ
ย่อมมีโอกาสประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์ได้ง่าย เมื่อเที่ยบกับฆราวาสหรือผู้ครองเรือน ทั้งนี้เพราะ
โดยพระวินัยแล้ว การเลี้ยงชีพของพระภิกษุต้องขึ้นอยู่กับฆราวาส ดังนั้น พระภิกษุจึงไม่ต้องกังวลด้วยเรื่อง
การทำมาหากินแบบฆราวาส ทำให้สามารถทุ่มเทเวลาและชีวิตเพื่อการศึกษา และปฏิบัติตามพระธรรมวินัย
ได้โดยบริบูรณ์ กรณีเช่นนี้ย่อมเอื้ออำนวยให้พระภิกษุห่างไกลจากกามคุณได้มากทีเดียว ซึ่งจะยังผลให้การ
ประพฤติพรหมจรรย์นั้นบริบูรณ์บริสุทธิ์ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ชีวิตนักบวชมีโอกาสสร้างบุญกุศลทั้งปวง
สะดวกกว่าชีวิตฆราวาสมากนัก
อนึ่ง พระธรรมเทศนานี้ย่อมเป็นการบอกพระเจ้าอชาตศัตรูโดยนัยว่า สาวกของพระพุทธองค์ล้วนมีเป้าหมาย
ในการบวชทั้งสิ้น มิใช่บวชโดยไร้เป้าหมาย หรือบวชเพื่อหากินดังเช่นนักบวชบางจำพวก ทั้งนี้ย่อมเป็นการยก
ศรัทธาของพระเจ้าอชาตศัตรูต่อภิกษุสงฆ์ให้สูงยิ่งขึ้นไปอีกด้วย
ข้อปฏิบัติเบื้องต้นของพระภิกษุ
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงแรงจูงใจ และเป้าหมายของการบวชจบลงแล้ว ได้ตรัสต่อไปอีกว่า
“เมื่อบวชแล้วสำรวมระวังในพระปาฏิโมกข์ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษแม้เพียง
เล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์
ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ” ๑
จากพระธรรมเทศนาดังกล่าวแล้วนี้ ย่อมแสดงว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระประสงค์จะให้พระเจ้า
อชาตศัตรูทรงทราบว่า ผู้ที่บวชเข้ามาเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว จะต้องปฏิบัติตนอย่างใดบ้าง
และจะต้องละเว้นการปฏิบัติอย่างใดบ้าง ซึ่งอาจแยกออกให้เห็นได้ง่าย ดังนี้
๑. สำรวมระวังในพระปาฏิโมกข์
๒. มีอาชีพบริสุทธิ์
๓. ถึงพร้อมด้วยศีล
๔. คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย
๕. ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ
๖. เป็นผู้สันโดษ
---------------------------
๑ สามัญญผลสูตร ที.สี. ๙/๑๐๒/๘๓