หลวงพ่อตอบปัญหา ตอนที่ 13


โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียง จาก รายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
คำถาม:กราบ นมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อครับ ความไม่สงบทางภาคใต้ของเราขณะนี้ ซึ่งมีส่วนกระทบทั้งประเทศ แม้กระทั่งต่างประเทศเองก็ให้ความสนใจ แล้วก็ทำให้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของโลกด้วย ขอกราบเรียนถามว่า ปัญหาความไม่สงบทางภาคใต้ในขณะนี้ ในมุมมองพระพุทธศาสนานั้นเกิดจากสาเหตุอะไรครับ

คำตอบ:ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ ถ้ามองว่าเป็นเรื่องใหญ่ มันก็ใหญ่นะ แต่ว่าอยากจะชี้บางอย่างให้ดูก่อน

อย่างแรก คือ จำไว้เถอะ...
ชายแดนของประเทศทุกประเทศ มักจะมีการกระทบกระทั่งกันอยู่เสมอๆ ไม่ ว่าระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย ที่เป็นอยู่ตรงนี้ ความจริง ประเทศไทยกับประเทศพม่า ประเทศไทยกับประเทศลาว ประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา เราก็มีการกระทบกระทั่งกันบ้าง อันนี้ก็เป็นธรรมดา ไม่เฉพาะที่ประเทศมาเลเซียที่อยู่ทางใต้ของเรา

ที่ว่ากระทบกระทั่งแล้วยังเป็นเรื่องธรรมดา ก็เพราะว่า...เราต้องยอมรับความจริงกันว่า
คนเรานั้น มันยังไม่หมดกิเลส เมื่อ มันยังไม่หมดกิเลส ความเอาแต่ใจตัวบ้าง ความเห็นแก่ได้บ้าง และ...ถ้าจะว่าไป...ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์บ้างในแง่มุมต่างๆ สิ่งเหล่านี้มันก็ก่อให้เกิดปัญหาของมันขึ้นมา

ทีนี้ ภาคอื่นๆ เมื่อเกิดปัญหาแล้ว ก็มักจะไม่ค่อยรุนแรง แต่มาครั้งนี้ทางภาคใต้ของเราเกิดขึ้นแล้ว กลับมีแววรุนแรง

ก็เพราะว่า 3ภาคอื่นๆนั้น ทั้งภาคเหนือ และภาคตะวันตกที่ติดกับพม่า ภาคตะวันออกซึ่งติดกับลาว ติดกับกัมพูชา พอดีว่าทั้ง 3ประเทศนั้นนับถือพระพุทธศาสนาด้วยกัน

หลักการแก้ไขปัญหาของคนทั้ง 3ชาติมีเหมือนๆกัน คือ
ใช้ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลัก

แต่ว่าพอดีภาคใต้ของเราติดต่อกับประเทศมาเลเซีย ซึ่ง คนทั้งฝั่งไทยและฝั่งมาเลเซีย ก็ไหลเข้าออกถึงกันตลอดเวลาตั้งแต่โบราณมาแล้ว แต่ว่าตรงนี้เกิดมีการต่างศาสนาขึ้น

ซึ่งเมื่อมีต่างศาสนาแล้ว
ทิศทางหรือแนวทางในการแก้ไขปัญหามันก็เลยมีความแตกต่างกันไป

ซึ่งเมื่อมันเป็นอย่างนี้ ก็ต้องใช้ความอดทนกันมากหน่อย สำหรับในการจะเข้าไปแก้ปัญหา

แต่ว่า...ก็ต้องคิดให้ลึกสักหน่อยว่า
อย่ามองว่านี่เป็นปัญหาศาสนานะ ถ้ามองว่าเป็นปัญหาศาสนาเดี๋ยวยุ่ง

แต่ว่าถ้ามองให้ดี เออ...มองว่าปัญหาที่เกิดขึ้น มันเป็นปัญหาเรื่องความเข้าใจ หรือปัญหาเรื่องทิฐิ เรื่องความเห็นของเราว่าเนื่องจากวางแนวคิดไม่เหมือน กัน แต่ก็ไม่เป็นไร ไม่ว่าอย่างไร อย่างไร
เราก็เป็นคนไทยด้วยกัน

แล้วก็มองให้ลึกต่อไปอีก ไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไร นอกจากจะเป็นไทยด้วยกันแล้ว แล้วทำไมเมื่อปู่ย่าตาทวดของเรา ท่านก็อยู่กันมาอย่างสงบ

แล้วว่าก็ว่านะ ...ลองไปสำรวจดูเถอะ แม้ขณะนี้ที่ว่ามีความไม่สงบอยู่ พระ หลวงพ่อ หลวงพี่ หลวงปู่ หลวงตา หลวงน้า หลวงลุง ก็ยังสามารถไปมาหาสู่กันอยู่กับพี่น้องชาวไทยที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ เขา อยู่กันอย่างเป็นปกติ

และท่านที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ก็เข้ามาในวัดในวากันเป็นปกติอยู่ แม้ขณะนี้

เพราะฉะนั้น
ปัญหาที่เกิดขึ้น มันเป็นเพียงบางจุดของภาคใต้ ดังนั้น
จะจัดว่า เป็นปัญหาศาสนาเสียทีเดียวมันจึงไม่ได้ มันเป็นเรื่องของความที่มีบางกลุ่ม บางคน ไม่เข้าใจทั้งศาสนาของตัวเอง ไม่เข้าใจทั้งศาสนาของพี่น้องที่อยู่ร่วมพื้นที่

นี่เป็นปัญหาของบุคคลบางกลุ่มเท่านั้น แล้วก็กลุ่มเล็กด้วย
อย่ามองว่าเป็นปัญหาของภาคใต้ทั้งหมด

กลุ่มบุคคลเหล่านี้...ไปถามเขาเถอะ...ไม่ว่าเขาจะบอก ว่า เขานับถือศาสนาอะไร เมื่อไปไล่ภูมิรู้ภูมิธรรมเข้าจริงๆ...ไม่ต้องมากหรอก ...แค่ไปถามถึงหลักธรรมของศาสนาที่เขานับถือ ไม่ว่าเขาจะนับถือศาสนาอะไร ไปถามแค่หลักธรรมเบื้องต้นของศาสนานั้น แล้วเราจะพบว่า เขาก็ไม่ค่อยรู้หรอก

ปัญหาภาคใต้ของเราขณะนี้ เกิดขึ้นมาจากกลุ่มคนที่ไม่รู้จักศาสนาที่ตัวเองนับถืออย่างแท้จริง จึงเกิด Side affect หรือว่าจึงเกิดผลกระทบกระทั่งกันขึ้นมาอย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้

คำถาม:ขอกราบเรียนถามหลวงพ่อต่อว่า
จะมีวิธีการใดที่จะแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืนตลอดไปครับ

คำตอบ:ในการแก้ปัญหาภาคใต้ของเราครั้งนี้ สิ่งที่ทุกคนต้องระมัดระวังให้ดีก็คือ อย่าใช้ความรุนแรง ให้ใช้ความเมตตา และปัญญา ให้สมดุลกันให้ดี ความเมตตายังไงก็ต้องนำหน้า และปัญญาก็ต้องตามติดๆกันเข้าไปทีเดียว ถ้าอย่างนี้เราก็มีทางแก้ปัญหาได้

อย่างที่ว่ามานี้...เท่ากับบอกว่าอะไร...ที่ไหนขาดปัญญา ที่นั่นก็มีปัญหา เพราะฉะนั้น ปัญหาภาคใต้ถ้าว่าไปแล้ว...มีปัญหาดังนี้

ประการที่1.ปัญหาเรื่องการศึกษา หรือความรู้ในเรื่องของการทำมาหากิน ความรู้ทั่วไปของประชาชน นี่เรื่องที่1 ความรู้ตรงนี้ต้องรีบให้

ประการที่2.
ปัญหาเรื่องของความเข้าใจในศาสนา คือ ประชาชนที่อยู่ในภาคใต้ โดยเฉพาะในกลุ่ม ในบริเวณที่กำลังมีปัญหาอยู่นี้ ฟันธงลงไปได้เลยว่า ไม่ว่ากลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธ หรือนับถือศาสนาอิสลามก็ตามที ความรู้ ความเข้าใจในหลักธรรมของแต่ละท่านที่นับถือศาสนานั้นๆ อยากจะบอกว่า ยังลึกซึ้งไม่พอ

ถ้ามีความลึกซึ้งพอล่ะก็ ความอดทนของแต่ละฝ่ายที่เกิดปัญหาขึ้นมา จะมีมากพอ
เมื่อมีความอดทนมากพอ เดี๋ยวปัญหามันจะค่อยๆคลี่คลายด้วยตัวของมันเอง

มองภาพรวมๆ อย่างนี้ก่อน คือ
1.แก้ปัญหาด้วยความรู้ทั่วไปในทางโลก ทั้งด้านวิชาการ ทั้งด้านการศึกษาพื้นฐาน ให้กับประชาชน
2.เพิ่มพูนความรู้ทางด้านศีลธรรม ตามหลักศาสนาที่แต่ละท่านนับถือ

ทางฝ่ายพุทธ ก็น่าที่จะมีพระภิกษุที่มีภูมิรู้ภูมิธรรมสูง จากจังหวัดใกล้เคียง หรือจากจังหวัดอื่นๆก็ตามที
ช่วยลงไปให้ความรู้ทางพุทธศาสนาให้กว้างขวางขึ้น แก่ชาวไทยพุทธที่อยู่ในภาคใต้ ไปให้ความรู้ทางธรรมแก่พี่น้องชาวไทยพุทธ

หรือว่ามีความตกทุกข์ได้ยากในเรื่องอะไร ก็ไปช่วยกันดู ช่วยกันแก้ไข มีความขาดแคลนอะไร ก็ไปช่วยกันดู

ส่วนทางด้านการศึกษาศาสนาของอิสลามก็เช่นกัน คงจะต้องมาช่วยกันดูว่า ท่านที่มีความรู้ทางศาสนาอิสลาม เป็นผู้บริหารทางศาสนาอิสลามก็ลงไปช่วยกันดูกันอย่างจริงๆจังๆแล้ว
ประเภทที่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ ก็จะค่อยๆหมดไป

หรือไม่หมดก็น้อยลงไปมาก แล้วก็เกิดความละอาย กลัวๆความบาปขึ้นมา เดี๋ยวอะไรต่ออะไรก็จะดีขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการแก้ไขด้านของการศึกษา และแก้ไขในเรื่องของความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมในศาสนาของพี่น้องชาวพุทธ -ชาวอิสลาม ทั้งสองอย่างนี้ค่อนข้างจะใช้เวลาสักหน่อย

แต่ว่า ปัญหาเฉพาะหน้าที่ทุกฝ่ายจะเจอก็คือ
ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ พูด ง่ายๆ ถ้าแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ แก้ปัญหาทางปากท้องได้ลงตัวเร็ว ความเจ็บช้ำน้ำใจอะไรต่ออะไรที่เกิดกระทบ กระทั่งกันนั้น มันก็พออดพอทน พอใช้เวลาเยียวยา ใช้ความรู้ความสามารถแก้ไขในระยะยาวได้

เพราะฉะนั้นในตรงนี้ รัฐบาลก็คงจะต้องรีบยื่นมือเข้าไป ในการแก้ไขเศรษฐกิจของภาคใต้

แล้วก็พี่น้องชาวไทยของทั้งสองฝ่าย ที่นับถือศาสนาอะไรก็ตาม ก็คงจะต้องลงไปช่วยกัน ช่วยรัฐบาลท่านด้วย สนับสนุนทางด้านเศรษฐกิจ ใครเจ็บไข้ได้ป่วย ใครขาดแคลนในเรื่องอะไรก็ลงไปช่วยกัน ของเฉพาะหน้านี้ต้องรีบ

เมื่อแก้ไขความเดือดร้อนเฉพาะหน้าได้แล้ว เดี๋ยวอย่างอื่นมันค่อยแก้ๆกันไป

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้คาถาวิเศษเอาไว้ ไม่เฉพาะชาวพุทธ...แต่สำหรับพี่น้องชาวไทยทุกคน คาถาวิเศษ ก็คือ

ข้อที่1.อดทนนะลูก ถึงอย่างไรเราก็ชาวไทยด้วยกัน เราก็เป็นคนเหมือนกัน เป็นคนไทยเสียด้วย เป็นคนไทยด้วยกัน ปู่ย่าตาทวดเราก็ช่วยกันสร้างบ้านสร้างเมืองมาด้วยกัน เพราะฉะนั้น
ทั้งอดทั้งทนนะลูก นี่เป็นประการที่1 เป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องท่อง

ข้อที่2.
ถ้าเป็นชาวพุทธ ก็ต้องบอกว่า ไปนิพพานนะลูก เป็นอิสลามก็ต้องบอกว่า ไปสวรรค์ ไปหาพระเจ้าของเรานะลูก

พูดง่ายๆ ทั้งสองฝ่ายต้องบอกว่า จะทำอะไร...อายบาป กลัวบาป นึกถึงสวรรค์ นึกถึงนิพพาน แล้วจะได้มีจิตเมตตากันและกัน
เมตตากันนะลูก เป็นประการที่2

ข้อที่3.
อย่ารุนแรงกันนะลูก ถ้ารุนแรงล่ะก็...มันเดือดเนื้อร้อนใจตั้งแต่คิดแล้ว พอลงมือพูด ลงมือทำก็เดือดร้อนหนักเข้าไปอีก

เราคนไทยด้วยกัน เราเป็นมนุษย์ด้วยกัน กว่าจะเกิดมาเป็นมนุษย์ได้นี่ สั่งสมบุญมาหลายชาติทีเดียวนะ นับชาติไม่ถ้วนทีเดียว
เพราะฉะนั้นรักษาคุณธรรมของความเป็นมนุษย์ของเราให้ดี นึกอย่างนี้แล้ว เดี๋ยวอะไรต่ออะไร มันก็คลี่คลายไปได้เอง และแน่นอน ให้เวลารัฐบาลท่านด้วย

คำถาม:
ในกรณีที่เรา เจอคนที่ประสบความทุกข์อย่างหนัก จนถึงขั้นอยากจะฆ่าตัวตาย เราจะมีวิธีปลอบใจหรือว่ามีคำแนะนำให้เขาสู้ชีวิตต่อไปอย่างไรดีครับ
คำตอบ:ลูก...ต้องรู้นะ ไม่ว่าคนที่อยากจะฆ่าตัวตายเพราะกรณีไหนๆ พวกนี้คือพวกเครียด
เมื่อเขากำลังเครียด...เครียด...แล้วถ้าคิดจะช่วยกัน...ยังไงก็ ต้อง...คิดช่วย ไม่ใช่ ถ้า...คิดจะช่วย ยังไงต้องคิดช่วยกัน แต่ว่าเวลาคิดจะช่วยเขานั้น เราเองอย่าไปเครียดเสียเองก่อนนะ ถ้าเราไปเครียดเสียเองล่ะก็ เดี๋ยวแก้ไม่ได้

เหตุแห่งการคิดฆ่าตัวตายของแต่ละคนมันแตกต่างกันไป เวลาเราเจอบุคคลประเภทนี้ก็ระวังไว้ว่า
เราอย่าเพิ่งไปเครียดเองเสียก่อน

แล้วก็ดูสภาพทั้งร่างกายและจิตใจของเขาให้ดี รวมทั้งเขาจะมีอุปกรณ์อะไรที่อยู่ในมือเพื่อการฆ่าตัวตายอยู่บ้าง ดูให้ดีด้วย

ที่ว่าดูให้ดีก็คือ ในขณะที่เราคิดจะไปช่วยแก้เขานั้น เดี๋ยวอุปกรณ์อันนั้นมันจะกลายเป็นอุปกรณ์ช่วยฆ่าเราเสียก่อน ก็มองเสียให้ดีด้วย

แล้วเราเองต้องมีหลัก จึงจะเข้าไปช่วยแก้เขาได้ มีหลักทางด้านไหนบ้าง...
มีหลักในเรื่องของ การเวียนว่ายตายเกิด หรือ เรื่องกรรม ให้แน่นอยู่ในใจของเราก่อน คือ มีหลักธรรมนั่นเอง
แล้วจากนั้น...ค่อยมีหลักจิตวิทยา...ค่อยมีหลักทางด้านการแพทย์ตามมา

เอาเรื่องของหลักธรรมก่อน เราต้องรู้ไว้ว่า
คนเราตายแล้วไม่สูญ

ในการที่ใครคนใดคนหนึ่งคิดฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหาอะไรก็ตาม ขอให้เราทราบไว้ว่า
นั่นมันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูก เพราะว่า ถึงตายแล้วปัญหานั่นยังไม่หมดไปหรอก

ตายแล้วมันยังต้องเกิด ต้องเกิดใหม่ แต่เกิดในรูปอะไรแล้วแต่

เพราะฉะนั้น เมื่อเขาตายไปพร้อมกับปัญหาที่ค้างคาใจ ดังนั้น
ปัญหานี้ยังตามติดตัวเขาไปอีกในภพเบื้องหน้า จะไปนานอีกแค่ไหนก็แล้วแต่ แต่มันยังตามไป ได้กลับมาเกิดเป็นคนอีกเมื่อไหร่ ปัญหานั้นก็ยังตามมาอีก

คนที่เขาคิดฆ่าตัวตาย ตอนนั้นใจขุ่นคลั่กเลย เหมือนอย่างกับโคลนอยู่เต็มใจ เหมือนเอาหมึก เอาอินเดียนอิงค์ เทเข้าไปในใจของเขา เขาคิดอะไรไม่ออก

ทีนี้ คนที่ตายขณะที่ใจกำลังมืดอยู่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไปตรวจ ไปเช็คเอาไว้แล้ว บอกว่า พวกนี้ตายขณะใจมืด ก็คือตายขณะใจมีความโง่เต็มที่
ทุคติเป็นที่ไป

คืออาจจะไปตกนรกถ้ามืดหนัก เบามาหน่อย เป็นเปรต เบามาหน่อย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เหล่านี้เป็นต้น

แต่ไม่ว่าจะนรก จะเป็นเปรต เป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่สบายหรอก เดือดร้อนทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น หนีปัญหาด้วยการฆ่าตัวตายตอนใจมืดๆ ขุ่นๆ มัวๆ อย่างนี้...
มันกลายเป็นเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง

แต่ว่าถ้าใครใจใสๆ ตายตอนใจใสๆ ล่ะก็ สุคติเป็นที่ไป คือมีโอกาสไปสวรรค์เยอะแยะเลย โอกาสอย่างน้อย ก็ยังได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ที่จะเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้น ปิดประตูไป

ทีนี้ เมื่อเจอใครก็ตาม เขาจะฆ่าตัวตาย เรารู้แล้วว่า
1. ตายไปแล้วมันก็ยังไม่จบ
2.ตอนตายเพราะฆ่าตัวตายนั้น โอกาสไปนรกมันเยอะ
มีความเข้าใจถูกอย่างนี้ แล้วก็ตั้งจิตเมตตาที่จะช่วยเขาตามกรณีไป มองตรงนี้ชัดแล้ว

แต่ก็ระวัง
ถ้าเขาถึงกับคลั่งแล้ว และมีอาวุธอยู่ในมือ ตรงนี้ต้องคิดให้เยอะก็แล้วกัน...ลูกเอ๊ย

แต่ว่าถ้าอยู่ในภาวะที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรง ก็นึกว่า ครั้งนี้อาจจะเสี่ยงอะไรสักหน่อยก็เข้าไปด้วยเถอะ ได้บุญเยอะดีนะ
การที่จะให้ใครมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ และได้มีโอกาสสร้างบุญ สร้างความดีต่อไป เราเองก็ได้บุญเยอะ...ทำเถอะ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘