การวิเคราะห์เชิงตัวเลข 20

- เจ้าหนี้การค้า
เจ้าหนี้การค้าหมายถึงหนี้สินที่เกิดจากการทบริษัทได้ซื้อสินค้าและ/หรือ บริการจากผู้อื่น แล้วยังไม่ได้ชำระเงินให้กับผู้ขายนั้น รายการนี้เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับ ลูกหนี้การค้า จะพูดไปก็คือ นักลงทุนจะต้องการเงินแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่ตรงกันข้ามกันของรายการทั้ง สองอย่างนี้ (คือ อยากจะเห็นลูกหนี้การค้ามีมากขึ้น ในขณะที่เจ้าหนี้การค้ามีน้อยลงๆ) และในอีกแง่มุมของเวลา หากบริษัทมีลูกหนี้การค้า ผู้ถือหุ้นก็ย่อมอยากให้บริษัทสามารถเก็บหนี้ได้เร็วขึ้น ในทางตรงกันข้าม ในรายการเจ้าหนี้การค้า บริษัทก็ย่อมอยากจะประวิงเวลาจ่ายเงินออกไปให้นานอีกหน่อย (โดยที่ไม่สร้างปัญหาให้กับทั้งตัวเองและคู่ค้า) การที่ทำเช่นนี้ จะทำให้บริษัทสามารถถือเงินสดไว้ได้นานขึ้น ทำให้มีสถานะการไหลของเงินสดเป็นบวก

- หนี้สินไม่หมุนเวียน
หนี้สินไม่หมุนเวียนเป็นอีกด้านตรงกันข้ามของสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน หนี้สินพวกนี้ก็คือเงินที่บริษัทเป็นหนี้และมีกำหนดที่จะต้องชำระคืนในเวลา มากกว่าหนึ่งปีขึ้นไป แม้ว่าเราอาจจะเห็นรายการย่อยหลายอย่างเขียนฝังไว้ในรายการนี้ แต่โดยหลักใหญ่ใจความก็คือหนี้สินระยะยาวนั่นเอง

- หนี้สินระยะยาว
รายการนี้เป็นรายการที่แสดงถึงเงินที่บริษัทได้หยิบยืมมา โดยทั่วไปก็เช่นการออกตราสารหนี้ (บ้านเราเรียกว่า หุ้นกู้) ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เงินต้นคืนเป็นเวลาหลายปี การที่บริษัทมีหนี้สินระยะยาวมากเกินไป เป็นสิ่งที่เพิ่มความเสี่ยงให้กับบริษัทเนื่องจากบริษัทจะยังคงต้องจ่าย ดอกเบี้ยให้กับเจ้าหนี้ ไม่ว่าบริษัทจะมีผลการดำเนินงานเป็นอย่างไร (กำไรมาก กำไรน้อย หรือแม้แต่ไม่มีกำไร ก็ยังต้องจ่ายดอกเบี้ย) การที่จะบอกว่าบริษัทหนึ่งๆ มีหนี้สินระยะยาวมากเกินไปหรือไม่ หรือควรมีไม่เกินแค่ไหน เป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับชนิดของบริษัทนั้นๆ เอง (คือไม่สามารถกำหนดบอกตายตัวได้ เพราะว่าขึ้นอยู่กับธรรมชาติของธุรกิจ เช่นบริษัทที่ต้องลงทุนจำนวนมาก ซึ่งหากใช้เงินของผู้ถือหุ้นทั้งหมด ก็จะทำให้ผลตอบแทน ROE - Return On Equity ซึ่งเราจะพูดถึงเรื่องนี้่ในภายหลัง - ต่ำลง แต่สินค้า/บริการนั้นเป็นการผูกขาดหรือกึ่งผูกขาดในระยะยาว มีลูกค้าแน่นอน การกู้ระยะยาวมากก็อาจจะเป็นการเหมาะสมได้) การที่จะดูว่าหนี้สินระยะยาวมากเกินไปหรือไม่อย่างง่ายๆ ก็คือ ดูว่ากำไรของบริษัทหลังจากหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการต่างๆ และค่าเสื่อมราคาแล้ว แต่ก่อนหักภาษี (EBIT - Earning Before Interest and Tax) เป็นกี่เท่าของดอกเบี้ยที่จะต้องจ่าย (พูดง่ายๆ คือ มีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยได้อย่างสบายๆ หรือไม่) ยิ่งกำไรมีค่าเป็นหลายเท่าของดอกเบี้ย ยิ่งแปลว่าสามารถจ่ายดอกเบี้ยได้อย่างสบายๆ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘