ตอนที่ 652. สิ้นสุดราชวงศ์วุย
หลังจากสิ้นบุญเกียงอุยแล้วเกิดจลาจลขึ้นในเมืองเสฉวน กาอุ้นนายทหารของสุมาเจียวได้ปราบปรามการจลาจลจนสงบราบคาบ แล้วเชิญเสด็จพระเจ้าเล่าเสี้ยนพร้อมด้วยขุนนางผู้ใหญ่ไปอยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง ขุนนางจากเมืองเสฉวนคิดถึงบุตรภรรยาและครอบครัวพากันโศกเศร้า แต่พระเจ้าเล่าเสี้ยนกลับเบิกบานสำราญพระทัย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินคำสุมาเจียวถามเรื่องคิดถึงบ้านเมือง จึงตอบว่า “ข้าพเจ้าได้มาพึ่งวาสนาของท่านก็เป็นสุขอยู่ หาได้คิดระลึกถึงบ้านเมืองไม่”
สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็ไม่กล่าวความประการใด ครั้นเสร็จงานเลี้ยงพระเจ้าเล่าเสี้ยนก็คำนับลาสุมาเจียวกลับไปเรือนพัก สุมาเจียวจึงปรารภกับอุยก๋วนซึ่งขณะนั้นเข้ามารายงานราชการในเมืองลกเอี๋ยงว่า นึกไม่ถึงว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนจะแล้งน้ำใจ ไม่คิดถึงครอบครัวและราษฎรแม้แต่น้อย คนแบบนี้ต่อให้มีสิบขงเบ้งช่วยเหลืออุ้มชู ก็ไม่อาจฟื้นฟูฮั่นได้สำเร็จ
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนพอเสด็จกลับถึงที่พัก ขับเจ้งขุนนางจากเมืองเสฉวนได้ตามเข้ามาเฝ้า แล้วทูลว่าซึ่งพระองค์ตอบสุมาเจียวว่าไม่คิดถึงบ้านเมืองนั้นไม่ชอบ เพราะเป็นเจ้าปกครองบ้านเมืองแล้วไม่คิดถึงราษฎรย่อมถูกติฉินนินทา สืบไปเมื่อหน้าถ้าหากสุมาเจียวไต่ถามพระองค์ถึงเรื่องนี้อีก ขอให้พระองค์ทำทีเป็นร้องไห้แล้วตอบว่าคิดถึงราษฎรและครอบครัวเป็นอันมาก ใคร่ได้ไปเซ่นไหว้บูชาสุสานบรรพชนตามประเพณี สุมาเจียวอาจมีน้ำใจเมตตาปล่อยตัวกลับคืนไปเมืองเสฉวน พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็รับคำ
หลังจากนั้นอีกสามสี่วัน สุมาเจียวได้เชิญพระเจ้าเล่าเสี้ยนไปกินโต๊ะที่จวนมหาอุปราชอีกครั้งหนึ่ง หลังจากเสพสุราหลายรอบแล้ว สุมาเจียวจึงแสร้งถามอีกว่าพระองค์มาอยู่เมืองลกเอี๋ยง ไม่คิดถึงเมืองเสฉวนบ้างหรือ
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดั้งนั้นก็แสร้งทำเป็นร้องไห้ แล้วตอบสุมาเจียวตามที่ขับเจ้งได้แนะนำทุกประการ แล้วเอามือป้องหน้าทำทีเป็นเช็ดน้ำตา สุมาเจียวเห็นดังนั้นจึงถามว่าสนทนากันอยู่ดี ๆ เหตุไฉนพระองค์จึงร้องไห้ แล้วดึงมือพระเจ้าเล่าเสี้ยนออกจากพระพักตร์ ครั้นไม่เห็นน้ำตาแม้แต่หยดเดียว สุมาเจียวจึงรู้ว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนมิได้ร้องไห้จริง สุมาเจียวและขุนนางทั้งปวงจึงพากันหัวเราะ
สุมาเจียวได้ถามว่า คำพูดของพระองค์ในวันนี้ตรงกันข้ามกับวันก่อนเป็นเพราะเหตุใดหรือ
พระเจ้าเล่าเสี้ยนถูกจับโกหกซึ่งหน้าก็รู้สึกอดสูพระทัย ไม่รู้ที่จะตอบประการใด จึงตรัสว่าข้าพเจ้ากล่าวความทั้งนี้ตามที่ขับเจ้งได้แนะนำมา หวังจะให้ท่านเมตตา การจะควรประการใดสุดแท้แต่น้ำใจท่านเถิด
สุมาเจียวและขุนนางทั้งปวงได้ยินคำตอบของพระเจ้าเล่าเสี้ยนแบบเด็กอมมือดังนั้นก็พากันหัวเราะ สุมาเจียวคิดว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนนี้นับเป็นยอดผู้โฉดเขลาแห่งยุค หาสติปัญญาแม้แค่ปีกลิ้นก็มิได้ เรื่องเพียงเท่านี้ยังไม่รู้ที่จักตอบ ตั้งแต่นั้นมาสุมาเจียวก็มิได้ระแวงสงสัยพระเจ้าเล่าเสี้ยน คงเหลือแต่ความรู้สึกนึกเวทนาที่เชื้อสายราชวงศ์ฮั่นมีทายาทโง่เง่าเต่าตุ่นได้ถึงขนาดนี้
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยเจ็ดพรรษา เดือนเจ็ด บรรดาขุนนางทั้งปวงเห็นพ้องต้องกันว่า สุมาเจียวบัญชาการยึดได้เมืองเสฉวนไว้ในขอบขัณฑสีมา แผ่นดินสงบราบคาบ มีความชอบเป็นอันมาก จึงพากันไปเฝ้าพระเจ้าโจฮวนแล้วกราบบังคมทูลเสนอให้โปรดเกล้าสถาปนาเลื่อนอิสริยยศของสุมาเจียวจากจิ้นก๋งเป็นจิ้นอ๋อง
พระเจ้าโจฮวนเห็นขุนนางทั้งปวงพร้อมเพรียงกันกราบทูลดังนั้นก็สำคัญว่าเป็นแผนการของสุมาเจียว ไม่อาจขัดขืนประการใดได้ จึงโปรดเกล้าสถาปนาสุมาเจียวขึ้นเป็นที่จิ้นอ๋อง
หลังจากสุมาเจียวได้เลื่อนอิสริยยศเป็นจิ้นอ๋องแล้ว จึงตั้งให้สุมาเอี๋ยนบุตรผู้ใหญ่เป็นทายาทสืบสายสกุลและอิสริยยศตามประเพณี แลสุมาเจียวนี้มีบุตรสองคน คนโตชื่อว่าสุมาเอี๋ยน “ลักษณะก็มีวาสนา ผมก็ยาวถึงตีน มือก็ยาว ฟันขาว ปัญญาพาทีเฉลียวฉลาดหลักแหลม” บุตรคนรองชื่อว่าสุมาฮิว เนื่องจากสุมาสูผู้พี่สุมาเจียวไร้บุตรสืบสกุล จึงขอสุมาฮิวไปเป็นบุตรบุญธรรม รักใคร่เมตตาเสมือนหนึ่งเป็นสายเลือดของตนเอง สุมาเจียวเกรงว่าขุนนางทั้งปวงจะครหานินทา เพราะเคยพูดจาเสมอมาว่าแผ่นดินนี้เป็นของสุมาสูผู้พี่ ดังนั้นเมื่อจะตั้งทายาทสืบตำแหน่งจิ้นอ๋อง จึงดำริกับขุนนางทั้งปวงว่าเรายังยึดมั่นตลอดมาว่าซึ่งมีอำนาจทุกวันนี้ก็เพราะสุมาสูผู้พี่ ดังนั้นจึงชอบที่จะตั้งสุมาฮิวบุตรของพี่เราขึ้นเป็นทายาท
ขุนนางทั้งปวงรู้ซึ้งแก่ใจดีว่าสุมาเจียวคิดอ่านประการใด จึงพากันทัดทานว่าซึ่งจะตั้งน้องครองอำนาจเป็นใหญ่แทนพี่นั้นไม่ชอบด้วยประเพณี หากจะฝ่าฝืนประเพณีก็จะเกิดรบราฆ่าฟันในระหว่างพี่น้องเหมือนแบบอย่างที่มีมาในประวัติศาสตร์ จึงชอบที่จะตั้งสุมาเอี๋ยนผู้พี่ขึ้นเป็นทายาทสืบอิสริยยศจึงจะควร
สุมาเจียวเห็นขุนนางทั้งปวงมีความเห็นพ้องต้องกันถูกตามอัชฌาสัย ไม่เป็นที่ครหานินทาในภายหน้าแล้ว จึงตั้งสุมาเอี๋ยนเป็นทายาทสมดังความปรารถนาทุกประการ
อยู่มาวันหนึ่งชาวเมืองลกเอี๋ยงได้เล่าขานกันว่า ที่เมืองซงบู๋ก๋วนมีเทวดาจากสวรรค์ปรากฏกายต่อหน้าผู้คนทั้งปวง เป็นชายสูงสี่วา ฝ่าเท้ายาวสองศอก นุ่งเหลืองห่มเหลือง ผมเผ้าหนวดเคราขาวโพลน ถือไม้เท้า ห้อยลูกน้ำเต้า เที่ยวป่าวประกาศแก่คนทั้งปวงว่า สวรรค์ลิขิตให้ราชวงศ์วุยสิ้นสุดแล้ว อ๋องใหม่จะเป็นฮ่องเต้ครองแผ่นดินบำรุงราษฎรให้เป็นสุขสืบไป เทพจำแลงผู้นี้ได้ร้องป่าวประกาศแก่ชาวเมืองครบชั่วสามวันแล้วจึงหายตัวไป
ขุนนางทั้งปวงได้ยินคำร่ำลือจึงพากันเข้าไปหาสุมาเจียว แล้วเสนอให้สุมาเจียวถอดพระเจ้าโจฮวนออกจากตำแหน่งและปราบดาภิเษกขึ้นเป็นฮ่องเต้ตามประกาศิตแห่งสวรรค์
สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นจึงมีความยินดี แต่มิได้กล่าวตอบประการใด เพราะคิดว่าขุนนางทั้งปวงล้วนเป็นพวก เมื่อริอ่านดังนี้แล้วเห็นจะพากันไปกราบทูลพระเจ้าโจฮวนให้สละราชสมบัติเอง
หลังจากออกว่าราชการวันนั้นแล้วสุมาเจียวให้รู้สึกอิ่มอกเปรมใจ ตั้งท่าคอยวันเวลาที่พระเจ้าโจฮวนจะสละราชสมบัติ แล้วจะได้รับคำอัญเชิญของขุนนางและราษฎรขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่บุญไม่พาวาสนาไม่ส่ง พอกลับเข้าไปถึงห้องข้างใน สุมาเจียวให้รู้สึกจุกแน่นที่หน้าอกสิ้นสติสมประดี พอฟื้นขึ้นก็ป่วยหนัก ไม่อาจออกว่าราชการได้ตามปกติ
ขุนนางทั้งปวงทราบข่าวว่าสุมาเจียวป่วยจึงพากันเข้าไปเยี่ยม แล้วถามว่าอาการป่วยท่านครั้งนี้เป็นประการใด ขณะนั้นสุมาเจียวป่วยหนัก พูดจาไม่ได้ พอได้ยินคำขุนนางทั้งปวงก็ร้องไห้ แล้วเอามือชี้ไปที่สุมาเอี๋ยนและในพลันนั้นก็สิ้นใจตาย
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยเจ็ดพรรษา เดือนสิบ หลังจากแต่งการพิธีศพของสุมาเจียวตามประเพณีแล้ว ขุนนางทั้งปวงได้พร้อมใจกันยกสุมาเอี๋ยนขึ้นเป็นจิ้นอ๋องสืบตำแหน่งของสุมาเจียวต่อไป
สุมาเอี๋ยนครองตำแหน่งจิ้นอ๋องแล้ว ตั้งตนเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินตามอำเภอใจ ได้ออกหมายประกาศตั้งให้โฮเจ้งขุนนางคนสนิทและไว้วางใจขึ้นเป็นที่มหาอุปราช ตั้งให้สุมาปองเป็นรองอุปราช และเลื่อนตำแหน่งขุนนางทั้งปวงตามธรรมเนียม
เพื่อยกย่องเกียรติคุณของสุมาเจียวผู้บิดา สุมาเอี๋ยนจึงให้สถาปนาสุมาเจียวขึ้นเป็นที่เก้งอ๋อง และสถาปนาสุมาอี้ขึ้นเป็นที่ซวงอ๋อง
อยู่มาวันหนึ่งสุมาเอี๋ยนได้ปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า การสร้างความชอบของโจโฉกับตระกูลสุมาของเรา หากจะเปรียบเทียบกันแล้วเป็นประการใด
กาอุ้นและหุยสิวได้ยินคำถามของสุมาเอี๋ยนก็รู้ที จึงตอบว่าโจโฉนั้นแม้เป็นแม่ทัพที่เก่งกล้าสามารถ แต่เหี้ยมโหดดุร้ายกับราษฎรและขุนนาง มิได้รักผู้ใดจริงจัง อาณาประชาราษฎรล้วนเคียดแค้นชิงชัง ยามตายจึงต้องก่อหลุมศพถึงเจ็ดสิบสองหลุมมิให้ใครล่วงรู้ว่าฝังศพไว้ในสุสานใด เพราะเกรงว่ามีผู้อาฆาตพยาบาทจะรื้อถอนสุสานทำลายศพโจผีปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ แผ่นดินก็ไม่เคยว่างเว้นสงคราม แต่ซวงอ๋องนั้นป้องกันรักษาแว่นแคว้นมิให้ศัตรูใดมาแผ้วพาน เก้งอ๋องสืบตำแหน่งต่อมาก็สามารถผนวกแคว้นเสฉวนเข้าอยู่ในขอบขัณฑสีมาของแผ่นดินวุยก๊ก ทุกสารทิศต่างยอมสยบอยู่ใต้บารมี ดังนี้ที่ไหนโจโฉจะสู้ได้ เห็นยังไกลกันนัก
สุมาเอี๋ยนได้ฟังคำสองขุนนางเข้าทางที่ต้องการจึงกล่าวว่า แต่ก่อนมาแผ่นดินนี้เป็นของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉครองอำนาจแล้ววางแผนระยะยาวชิงราชสมบัติให้แก่โจผี แลบัดนี้ขุนนางราษฎรทั้งปวงมีความเลื่อมใสศรัทธาเห็นความชอบของตระกูลสุมาเรายิ่งกว่าโจโฉอีก เราจะชิงเอาแผ่นดินของพระเจ้าโจฮวนตามแบบอย่างบ้างจะไม่ได้หรือ
สุมาเอี๋ยนกล่าวดังนั้นแล้วก็แสร้งทำทีเป็นหัวเราะทีเล่นทีจริง สองขุนนางได้ยินดังนั้นจึงรีบเสริมว่า ซึ่งโจโฉคิดอ่านชิงเอาราชสมบัติของพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้โจผีนั้นไม่ชอบ เหมือนหนึ่งปล้นแผ่นดินท่าน จิ้นอ๋องมีความกตัญญู บูชาสัจธรรม สวรรค์จึงเสริมส่ง ชอบที่จะคิดอ่านล้างแค้นแทนพระเจ้าเหี้ยนเต้ ถอดเชื้อสายของโจโฉออกจากที่พระมหากษัตริย์จึงจะควร
สุมาเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็หยั่งรู้น้ำใจขุนนางทั้งปวงว่า ยินยอมพร้อมใจในการที่จะถอดพระเจ้าโจฮวนออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์ จึงมีน้ำใจฮึกห้าวเหิมหาญเบิกบานยิ่งนัก วันรุ่งขึ้นสุมาเอี๋ยนจึงถือกระบี่เข้าไปในพระบรมมหาราชวัง ล่วงเข้าไปถึงตำหนักที่ประทับของพระเจ้าโจฮวน
ฝ่ายพระเจ้าโจฮวนหลังจากโปรดเกล้าสถาปนาสุมาเอี๋ยนเป็นจิ้นอ๋องแล้ว ทรงทราบข่าวคราวความเคลื่อนไหวของบรรดาขุนนางและสุมาเอี๋ยนที่คิดอ่านชิงเอาราชสมบัติจึงทรงกลัดกลุ้มพระทัย แต่มิรู้ที่จะหันไปปรึกษาผู้ใด เพราะขันทีข้าหลวงนางกำนัลทหารและขุนนางทั้งปวงต่างพากันเข้าเป็นสมัครพรรคพวกของสุมาเอี๋ยน ดังนั้นพอทอดพระเนตรเห็นสุมาเอี๋ยนถือกระบี่เข้ามาก็ตกพระทัย รีบลุกขึ้นคำนับ
สุมาเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็หัวเราะชอบใจ ทูลว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ทุกวันนี้สติปัญญาก็น้อย จะจัดแจงทหารก็ไม่เป็น จะว่ากล่าวกิจการฝ่ายพลเรือนเล่าก็มิได้ สารพัดที่ไม่สมประกอบสิ้น ต้องการอันใดจะมานั่งกอดสมบัติอยู่ ถ้ายกให้กับผู้อื่นที่มีสติปัญญาว่ากล่าวกิจการแผ่นดินมิดีหรือ”
พระเจ้าโจฮวนได้ยินคำสุมาเอี๋ยนกล่าวความตรงไปตรงมาชัดเจนดังนั้นก็ตกพระทัย ทรงกันแสงแล้วก้มพระพักตร์นิ่งอยู่
ฝ่ายเตียวเจ๊กซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่นั่งเฝ้าอยู่ในขณะนั้น เห็นเหตุการณ์ก็โกรธ ตวาดใส่สุมาเอี๋ยนว่า “เมื่อครั้งพระเจ้าโจโฉยังมีพระชนม์อยู่ ทรงพระอุตส่าห์มิได้คิดแก่ชีวิต สู้ทรมานพระองค์ไปเที่ยวปราบปรามบ้านเมืองทั้งปวงให้ราบคาบ ปราศจากเสี้ยนหนามหลักตอ กำจัดราชศัตรูเสียทำให้อาณาประชาราษฎรเป็นสุข แล้วก็ยกแผ่นดินให้แก่พระญาติวงศ์ครอบครองสืบ ๆ กันมา พระเจ้าโจฮวนก็มิได้ทำสิ่งใดให้แผ่นดินเดือดร้อน หาความผิดมิได้ ซึ่งท่านจะให้ยกสมบัติให้แก่ผู้อื่นเสียง่าย ๆ นั้นด้วยเหตุผลอันใด”
จิ้นอ๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ตวาดใส่เตียวเจ๊กว่าตัวมึงไม่รู้ผิดชอบชั่วดี เสียทีเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ก็แผ่นดินนี้หรือมิใช่ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉคนอำมหิตคิดอ่านชิงเอาราชสมบัติให้แก่ลูกหลานว่านเครือให้ผิดประเพณีไป แผ่นดินจึงเหมือนหนึ่งตกในน้ำมือโจร พระอัยกาและพระบิดาของเราทำความชอบแก่แผ่นดินไว้เป็นอันมาก ราษฎรได้พึ่งร่มใบบุญจึงมีความสุขในทุกวันนี้ ตัวเราซึ่งสืบเชื้อสายจึงต้องพิทักษ์คุณธรรม ทำให้แผ่นดินพ้นจากเงื้อมมือโจร ไฉนท่านจึงมาว่าฉะนี้
กล่าวแล้วจิ้นอ๋องสุมาเอี๋ยนจึงสั่งให้ทหารคุมตัวเตียวเจ๊กเอาไปประหารชีวิตโดยวิธีทุบจนตาย แล้วสุมาเอี๋ยนจึงกลับไปจวน
พระเจ้าโจฮวนทราบชะตากรรมเป็นอันดีว่าไม่อาจจะรักษาราชบัลลังก์สืบสันตติวงศ์ของพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉต่อไปได้ วันรุ่งขึ้นจึงตรัสเชิญขุนนางทั้งปวงเข้ามาปรึกษาว่าจะทำประการใด
กาอุ้นและหุยสิวจึงทูลว่า สรรพสิ่งไม่มีความจีรังยั่งยืน สุดแท้แต่สวรรค์จะลิขิต ผู้ใดคล้อยตามลิขิตแห่งฟ้าก็จะประสบกับมงคล ผู้ใดขัดขืนลิขิตแห่งฟ้าก็จะประสบกับอวมงคล มีอันตรายถึงชีวิต แผ่นดินวุยก๊กทุกวันนี้ร่วงโรยแล้ว ขุนนางราษฎรทั้งปวงล้วนเป็นใจศรัทธาจิ้นอ๋องตามลิขิตแห่งสวรรค์ หาควรที่พระองค์จะแข็งขืนต่อไปไม่
พระเจ้าโจฮวนได้ฟังดังนั้นจึงตรัสว่า เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็ไม่อาจฝืน จำจะสละราชสมบัติให้จิ้นอ๋องปราบดาขึ้นเป็นฮ่องเต้สืบไป ขุนนางทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็พากันถวายพระพรว่าชอบแล้ว พระเจ้าโจฮวนจึงทรงกำหนดวันขึ้นหนึ่งค่ำ เดือนยี่ เป็นวันกระทำพิธีสละราชสมบัติ.
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ยินคำสุมาเจียวถามเรื่องคิดถึงบ้านเมือง จึงตอบว่า “ข้าพเจ้าได้มาพึ่งวาสนาของท่านก็เป็นสุขอยู่ หาได้คิดระลึกถึงบ้านเมืองไม่”
สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นก็ไม่กล่าวความประการใด ครั้นเสร็จงานเลี้ยงพระเจ้าเล่าเสี้ยนก็คำนับลาสุมาเจียวกลับไปเรือนพัก สุมาเจียวจึงปรารภกับอุยก๋วนซึ่งขณะนั้นเข้ามารายงานราชการในเมืองลกเอี๋ยงว่า นึกไม่ถึงว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนจะแล้งน้ำใจ ไม่คิดถึงครอบครัวและราษฎรแม้แต่น้อย คนแบบนี้ต่อให้มีสิบขงเบ้งช่วยเหลืออุ้มชู ก็ไม่อาจฟื้นฟูฮั่นได้สำเร็จ
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนพอเสด็จกลับถึงที่พัก ขับเจ้งขุนนางจากเมืองเสฉวนได้ตามเข้ามาเฝ้า แล้วทูลว่าซึ่งพระองค์ตอบสุมาเจียวว่าไม่คิดถึงบ้านเมืองนั้นไม่ชอบ เพราะเป็นเจ้าปกครองบ้านเมืองแล้วไม่คิดถึงราษฎรย่อมถูกติฉินนินทา สืบไปเมื่อหน้าถ้าหากสุมาเจียวไต่ถามพระองค์ถึงเรื่องนี้อีก ขอให้พระองค์ทำทีเป็นร้องไห้แล้วตอบว่าคิดถึงราษฎรและครอบครัวเป็นอันมาก ใคร่ได้ไปเซ่นไหว้บูชาสุสานบรรพชนตามประเพณี สุมาเจียวอาจมีน้ำใจเมตตาปล่อยตัวกลับคืนไปเมืองเสฉวน พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็รับคำ
หลังจากนั้นอีกสามสี่วัน สุมาเจียวได้เชิญพระเจ้าเล่าเสี้ยนไปกินโต๊ะที่จวนมหาอุปราชอีกครั้งหนึ่ง หลังจากเสพสุราหลายรอบแล้ว สุมาเจียวจึงแสร้งถามอีกว่าพระองค์มาอยู่เมืองลกเอี๋ยง ไม่คิดถึงเมืองเสฉวนบ้างหรือ
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดั้งนั้นก็แสร้งทำเป็นร้องไห้ แล้วตอบสุมาเจียวตามที่ขับเจ้งได้แนะนำทุกประการ แล้วเอามือป้องหน้าทำทีเป็นเช็ดน้ำตา สุมาเจียวเห็นดังนั้นจึงถามว่าสนทนากันอยู่ดี ๆ เหตุไฉนพระองค์จึงร้องไห้ แล้วดึงมือพระเจ้าเล่าเสี้ยนออกจากพระพักตร์ ครั้นไม่เห็นน้ำตาแม้แต่หยดเดียว สุมาเจียวจึงรู้ว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนมิได้ร้องไห้จริง สุมาเจียวและขุนนางทั้งปวงจึงพากันหัวเราะ
สุมาเจียวได้ถามว่า คำพูดของพระองค์ในวันนี้ตรงกันข้ามกับวันก่อนเป็นเพราะเหตุใดหรือ
พระเจ้าเล่าเสี้ยนถูกจับโกหกซึ่งหน้าก็รู้สึกอดสูพระทัย ไม่รู้ที่จะตอบประการใด จึงตรัสว่าข้าพเจ้ากล่าวความทั้งนี้ตามที่ขับเจ้งได้แนะนำมา หวังจะให้ท่านเมตตา การจะควรประการใดสุดแท้แต่น้ำใจท่านเถิด
สุมาเจียวและขุนนางทั้งปวงได้ยินคำตอบของพระเจ้าเล่าเสี้ยนแบบเด็กอมมือดังนั้นก็พากันหัวเราะ สุมาเจียวคิดว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนนี้นับเป็นยอดผู้โฉดเขลาแห่งยุค หาสติปัญญาแม้แค่ปีกลิ้นก็มิได้ เรื่องเพียงเท่านี้ยังไม่รู้ที่จักตอบ ตั้งแต่นั้นมาสุมาเจียวก็มิได้ระแวงสงสัยพระเจ้าเล่าเสี้ยน คงเหลือแต่ความรู้สึกนึกเวทนาที่เชื้อสายราชวงศ์ฮั่นมีทายาทโง่เง่าเต่าตุ่นได้ถึงขนาดนี้
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยเจ็ดพรรษา เดือนเจ็ด บรรดาขุนนางทั้งปวงเห็นพ้องต้องกันว่า สุมาเจียวบัญชาการยึดได้เมืองเสฉวนไว้ในขอบขัณฑสีมา แผ่นดินสงบราบคาบ มีความชอบเป็นอันมาก จึงพากันไปเฝ้าพระเจ้าโจฮวนแล้วกราบบังคมทูลเสนอให้โปรดเกล้าสถาปนาเลื่อนอิสริยยศของสุมาเจียวจากจิ้นก๋งเป็นจิ้นอ๋อง
พระเจ้าโจฮวนเห็นขุนนางทั้งปวงพร้อมเพรียงกันกราบทูลดังนั้นก็สำคัญว่าเป็นแผนการของสุมาเจียว ไม่อาจขัดขืนประการใดได้ จึงโปรดเกล้าสถาปนาสุมาเจียวขึ้นเป็นที่จิ้นอ๋อง
หลังจากสุมาเจียวได้เลื่อนอิสริยยศเป็นจิ้นอ๋องแล้ว จึงตั้งให้สุมาเอี๋ยนบุตรผู้ใหญ่เป็นทายาทสืบสายสกุลและอิสริยยศตามประเพณี แลสุมาเจียวนี้มีบุตรสองคน คนโตชื่อว่าสุมาเอี๋ยน “ลักษณะก็มีวาสนา ผมก็ยาวถึงตีน มือก็ยาว ฟันขาว ปัญญาพาทีเฉลียวฉลาดหลักแหลม” บุตรคนรองชื่อว่าสุมาฮิว เนื่องจากสุมาสูผู้พี่สุมาเจียวไร้บุตรสืบสกุล จึงขอสุมาฮิวไปเป็นบุตรบุญธรรม รักใคร่เมตตาเสมือนหนึ่งเป็นสายเลือดของตนเอง สุมาเจียวเกรงว่าขุนนางทั้งปวงจะครหานินทา เพราะเคยพูดจาเสมอมาว่าแผ่นดินนี้เป็นของสุมาสูผู้พี่ ดังนั้นเมื่อจะตั้งทายาทสืบตำแหน่งจิ้นอ๋อง จึงดำริกับขุนนางทั้งปวงว่าเรายังยึดมั่นตลอดมาว่าซึ่งมีอำนาจทุกวันนี้ก็เพราะสุมาสูผู้พี่ ดังนั้นจึงชอบที่จะตั้งสุมาฮิวบุตรของพี่เราขึ้นเป็นทายาท
ขุนนางทั้งปวงรู้ซึ้งแก่ใจดีว่าสุมาเจียวคิดอ่านประการใด จึงพากันทัดทานว่าซึ่งจะตั้งน้องครองอำนาจเป็นใหญ่แทนพี่นั้นไม่ชอบด้วยประเพณี หากจะฝ่าฝืนประเพณีก็จะเกิดรบราฆ่าฟันในระหว่างพี่น้องเหมือนแบบอย่างที่มีมาในประวัติศาสตร์ จึงชอบที่จะตั้งสุมาเอี๋ยนผู้พี่ขึ้นเป็นทายาทสืบอิสริยยศจึงจะควร
สุมาเจียวเห็นขุนนางทั้งปวงมีความเห็นพ้องต้องกันถูกตามอัชฌาสัย ไม่เป็นที่ครหานินทาในภายหน้าแล้ว จึงตั้งสุมาเอี๋ยนเป็นทายาทสมดังความปรารถนาทุกประการ
อยู่มาวันหนึ่งชาวเมืองลกเอี๋ยงได้เล่าขานกันว่า ที่เมืองซงบู๋ก๋วนมีเทวดาจากสวรรค์ปรากฏกายต่อหน้าผู้คนทั้งปวง เป็นชายสูงสี่วา ฝ่าเท้ายาวสองศอก นุ่งเหลืองห่มเหลือง ผมเผ้าหนวดเคราขาวโพลน ถือไม้เท้า ห้อยลูกน้ำเต้า เที่ยวป่าวประกาศแก่คนทั้งปวงว่า สวรรค์ลิขิตให้ราชวงศ์วุยสิ้นสุดแล้ว อ๋องใหม่จะเป็นฮ่องเต้ครองแผ่นดินบำรุงราษฎรให้เป็นสุขสืบไป เทพจำแลงผู้นี้ได้ร้องป่าวประกาศแก่ชาวเมืองครบชั่วสามวันแล้วจึงหายตัวไป
ขุนนางทั้งปวงได้ยินคำร่ำลือจึงพากันเข้าไปหาสุมาเจียว แล้วเสนอให้สุมาเจียวถอดพระเจ้าโจฮวนออกจากตำแหน่งและปราบดาภิเษกขึ้นเป็นฮ่องเต้ตามประกาศิตแห่งสวรรค์
สุมาเจียวได้ฟังดังนั้นจึงมีความยินดี แต่มิได้กล่าวตอบประการใด เพราะคิดว่าขุนนางทั้งปวงล้วนเป็นพวก เมื่อริอ่านดังนี้แล้วเห็นจะพากันไปกราบทูลพระเจ้าโจฮวนให้สละราชสมบัติเอง
หลังจากออกว่าราชการวันนั้นแล้วสุมาเจียวให้รู้สึกอิ่มอกเปรมใจ ตั้งท่าคอยวันเวลาที่พระเจ้าโจฮวนจะสละราชสมบัติ แล้วจะได้รับคำอัญเชิญของขุนนางและราษฎรขึ้นเป็นฮ่องเต้ แต่บุญไม่พาวาสนาไม่ส่ง พอกลับเข้าไปถึงห้องข้างใน สุมาเจียวให้รู้สึกจุกแน่นที่หน้าอกสิ้นสติสมประดี พอฟื้นขึ้นก็ป่วยหนัก ไม่อาจออกว่าราชการได้ตามปกติ
ขุนนางทั้งปวงทราบข่าวว่าสุมาเจียวป่วยจึงพากันเข้าไปเยี่ยม แล้วถามว่าอาการป่วยท่านครั้งนี้เป็นประการใด ขณะนั้นสุมาเจียวป่วยหนัก พูดจาไม่ได้ พอได้ยินคำขุนนางทั้งปวงก็ร้องไห้ แล้วเอามือชี้ไปที่สุมาเอี๋ยนและในพลันนั้นก็สิ้นใจตาย
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยเจ็ดพรรษา เดือนสิบ หลังจากแต่งการพิธีศพของสุมาเจียวตามประเพณีแล้ว ขุนนางทั้งปวงได้พร้อมใจกันยกสุมาเอี๋ยนขึ้นเป็นจิ้นอ๋องสืบตำแหน่งของสุมาเจียวต่อไป
สุมาเอี๋ยนครองตำแหน่งจิ้นอ๋องแล้ว ตั้งตนเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินตามอำเภอใจ ได้ออกหมายประกาศตั้งให้โฮเจ้งขุนนางคนสนิทและไว้วางใจขึ้นเป็นที่มหาอุปราช ตั้งให้สุมาปองเป็นรองอุปราช และเลื่อนตำแหน่งขุนนางทั้งปวงตามธรรมเนียม
เพื่อยกย่องเกียรติคุณของสุมาเจียวผู้บิดา สุมาเอี๋ยนจึงให้สถาปนาสุมาเจียวขึ้นเป็นที่เก้งอ๋อง และสถาปนาสุมาอี้ขึ้นเป็นที่ซวงอ๋อง
อยู่มาวันหนึ่งสุมาเอี๋ยนได้ปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า การสร้างความชอบของโจโฉกับตระกูลสุมาของเรา หากจะเปรียบเทียบกันแล้วเป็นประการใด
กาอุ้นและหุยสิวได้ยินคำถามของสุมาเอี๋ยนก็รู้ที จึงตอบว่าโจโฉนั้นแม้เป็นแม่ทัพที่เก่งกล้าสามารถ แต่เหี้ยมโหดดุร้ายกับราษฎรและขุนนาง มิได้รักผู้ใดจริงจัง อาณาประชาราษฎรล้วนเคียดแค้นชิงชัง ยามตายจึงต้องก่อหลุมศพถึงเจ็ดสิบสองหลุมมิให้ใครล่วงรู้ว่าฝังศพไว้ในสุสานใด เพราะเกรงว่ามีผู้อาฆาตพยาบาทจะรื้อถอนสุสานทำลายศพโจผีปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ แผ่นดินก็ไม่เคยว่างเว้นสงคราม แต่ซวงอ๋องนั้นป้องกันรักษาแว่นแคว้นมิให้ศัตรูใดมาแผ้วพาน เก้งอ๋องสืบตำแหน่งต่อมาก็สามารถผนวกแคว้นเสฉวนเข้าอยู่ในขอบขัณฑสีมาของแผ่นดินวุยก๊ก ทุกสารทิศต่างยอมสยบอยู่ใต้บารมี ดังนี้ที่ไหนโจโฉจะสู้ได้ เห็นยังไกลกันนัก
สุมาเอี๋ยนได้ฟังคำสองขุนนางเข้าทางที่ต้องการจึงกล่าวว่า แต่ก่อนมาแผ่นดินนี้เป็นของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉครองอำนาจแล้ววางแผนระยะยาวชิงราชสมบัติให้แก่โจผี แลบัดนี้ขุนนางราษฎรทั้งปวงมีความเลื่อมใสศรัทธาเห็นความชอบของตระกูลสุมาเรายิ่งกว่าโจโฉอีก เราจะชิงเอาแผ่นดินของพระเจ้าโจฮวนตามแบบอย่างบ้างจะไม่ได้หรือ
สุมาเอี๋ยนกล่าวดังนั้นแล้วก็แสร้งทำทีเป็นหัวเราะทีเล่นทีจริง สองขุนนางได้ยินดังนั้นจึงรีบเสริมว่า ซึ่งโจโฉคิดอ่านชิงเอาราชสมบัติของพระเจ้าเหี้ยนเต้ให้โจผีนั้นไม่ชอบ เหมือนหนึ่งปล้นแผ่นดินท่าน จิ้นอ๋องมีความกตัญญู บูชาสัจธรรม สวรรค์จึงเสริมส่ง ชอบที่จะคิดอ่านล้างแค้นแทนพระเจ้าเหี้ยนเต้ ถอดเชื้อสายของโจโฉออกจากที่พระมหากษัตริย์จึงจะควร
สุมาเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็หยั่งรู้น้ำใจขุนนางทั้งปวงว่า ยินยอมพร้อมใจในการที่จะถอดพระเจ้าโจฮวนออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์ จึงมีน้ำใจฮึกห้าวเหิมหาญเบิกบานยิ่งนัก วันรุ่งขึ้นสุมาเอี๋ยนจึงถือกระบี่เข้าไปในพระบรมมหาราชวัง ล่วงเข้าไปถึงตำหนักที่ประทับของพระเจ้าโจฮวน
ฝ่ายพระเจ้าโจฮวนหลังจากโปรดเกล้าสถาปนาสุมาเอี๋ยนเป็นจิ้นอ๋องแล้ว ทรงทราบข่าวคราวความเคลื่อนไหวของบรรดาขุนนางและสุมาเอี๋ยนที่คิดอ่านชิงเอาราชสมบัติจึงทรงกลัดกลุ้มพระทัย แต่มิรู้ที่จะหันไปปรึกษาผู้ใด เพราะขันทีข้าหลวงนางกำนัลทหารและขุนนางทั้งปวงต่างพากันเข้าเป็นสมัครพรรคพวกของสุมาเอี๋ยน ดังนั้นพอทอดพระเนตรเห็นสุมาเอี๋ยนถือกระบี่เข้ามาก็ตกพระทัย รีบลุกขึ้นคำนับ
สุมาเอี๋ยนเห็นดังนั้นก็หัวเราะชอบใจ ทูลว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ทุกวันนี้สติปัญญาก็น้อย จะจัดแจงทหารก็ไม่เป็น จะว่ากล่าวกิจการฝ่ายพลเรือนเล่าก็มิได้ สารพัดที่ไม่สมประกอบสิ้น ต้องการอันใดจะมานั่งกอดสมบัติอยู่ ถ้ายกให้กับผู้อื่นที่มีสติปัญญาว่ากล่าวกิจการแผ่นดินมิดีหรือ”
พระเจ้าโจฮวนได้ยินคำสุมาเอี๋ยนกล่าวความตรงไปตรงมาชัดเจนดังนั้นก็ตกพระทัย ทรงกันแสงแล้วก้มพระพักตร์นิ่งอยู่
ฝ่ายเตียวเจ๊กซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่นั่งเฝ้าอยู่ในขณะนั้น เห็นเหตุการณ์ก็โกรธ ตวาดใส่สุมาเอี๋ยนว่า “เมื่อครั้งพระเจ้าโจโฉยังมีพระชนม์อยู่ ทรงพระอุตส่าห์มิได้คิดแก่ชีวิต สู้ทรมานพระองค์ไปเที่ยวปราบปรามบ้านเมืองทั้งปวงให้ราบคาบ ปราศจากเสี้ยนหนามหลักตอ กำจัดราชศัตรูเสียทำให้อาณาประชาราษฎรเป็นสุข แล้วก็ยกแผ่นดินให้แก่พระญาติวงศ์ครอบครองสืบ ๆ กันมา พระเจ้าโจฮวนก็มิได้ทำสิ่งใดให้แผ่นดินเดือดร้อน หาความผิดมิได้ ซึ่งท่านจะให้ยกสมบัติให้แก่ผู้อื่นเสียง่าย ๆ นั้นด้วยเหตุผลอันใด”
จิ้นอ๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ตวาดใส่เตียวเจ๊กว่าตัวมึงไม่รู้ผิดชอบชั่วดี เสียทีเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ก็แผ่นดินนี้หรือมิใช่ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ โจโฉคนอำมหิตคิดอ่านชิงเอาราชสมบัติให้แก่ลูกหลานว่านเครือให้ผิดประเพณีไป แผ่นดินจึงเหมือนหนึ่งตกในน้ำมือโจร พระอัยกาและพระบิดาของเราทำความชอบแก่แผ่นดินไว้เป็นอันมาก ราษฎรได้พึ่งร่มใบบุญจึงมีความสุขในทุกวันนี้ ตัวเราซึ่งสืบเชื้อสายจึงต้องพิทักษ์คุณธรรม ทำให้แผ่นดินพ้นจากเงื้อมมือโจร ไฉนท่านจึงมาว่าฉะนี้
กล่าวแล้วจิ้นอ๋องสุมาเอี๋ยนจึงสั่งให้ทหารคุมตัวเตียวเจ๊กเอาไปประหารชีวิตโดยวิธีทุบจนตาย แล้วสุมาเอี๋ยนจึงกลับไปจวน
พระเจ้าโจฮวนทราบชะตากรรมเป็นอันดีว่าไม่อาจจะรักษาราชบัลลังก์สืบสันตติวงศ์ของพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉต่อไปได้ วันรุ่งขึ้นจึงตรัสเชิญขุนนางทั้งปวงเข้ามาปรึกษาว่าจะทำประการใด
กาอุ้นและหุยสิวจึงทูลว่า สรรพสิ่งไม่มีความจีรังยั่งยืน สุดแท้แต่สวรรค์จะลิขิต ผู้ใดคล้อยตามลิขิตแห่งฟ้าก็จะประสบกับมงคล ผู้ใดขัดขืนลิขิตแห่งฟ้าก็จะประสบกับอวมงคล มีอันตรายถึงชีวิต แผ่นดินวุยก๊กทุกวันนี้ร่วงโรยแล้ว ขุนนางราษฎรทั้งปวงล้วนเป็นใจศรัทธาจิ้นอ๋องตามลิขิตแห่งสวรรค์ หาควรที่พระองค์จะแข็งขืนต่อไปไม่
พระเจ้าโจฮวนได้ฟังดังนั้นจึงตรัสว่า เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็ไม่อาจฝืน จำจะสละราชสมบัติให้จิ้นอ๋องปราบดาขึ้นเป็นฮ่องเต้สืบไป ขุนนางทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็พากันถวายพระพรว่าชอบแล้ว พระเจ้าโจฮวนจึงทรงกำหนดวันขึ้นหนึ่งค่ำ เดือนยี่ เป็นวันกระทำพิธีสละราชสมบัติ.