กินเจ : เทศกาลเก้าจักรพรรดิผู้ชนะ

ชื่อเทศกาล ‘กินเจ’ มีชื่อเรียกออกเสียงตามสำเนียงซาวด์แทรกเป็นภาษาจีนแมนดารินว่า ‘จิ่วหวงเซิ่งหุ้ย’ แปลตรงตามตัวอักษรได้ความว่า ‘เทศกาลเก้าจักรพรรดิผู้ชนะ’ ดังนั้นถึงแม้ว่าเทศกาลนี้จะมีกิจกรรมการไม่กินเนื้อสัตว์ และพืชผลที่มีกลิ่นเป็นสำคัญ​ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในเทศกาลนี้ก็คือ จักรพรรดิทั้งเก้าองค์ที่ว่านี่ต่างหาก
เพราะการประกอบพิธีกรรมใดๆ ในเทศกาลกินเจทั้งหมดนั้น เป็นเพียงกิจกรรมเพื่อบูชา ‘พระจักรพรรดิทั้งเก้า’ นี่แหละครับ
แต่จักรพรรดิทั้งเก้าพระองค์ที่ว่านี้คือใคร? และใช่จักรพรรดิจีนที่มีตัวตนในประวัติศาสตร์อยู่จริงๆ หรือเปล่า?
ปรัมปราคติในลัทธิเต๋า ของจีน (ซึ่งมักจะมีเรื่องเล่า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพุทธศาสนาเข้าไปฟีเจอริ่งบ่อยเสียให้เขรอะไปหมด) อ้างว่า จักรพรรดิทั้งเก้าพระองค์ที่ว่านี้คือ เทพเจ้าผู้เป็นบุตรแห่งเทพี ‘โต๋วหมู่หยวนจุน’ ซึ่งก็คือเทพีแห่งดาวเหนือ ดังนั้นพระจักรพรรดิทั้งเก้าพระองค์นี้จึงไม่เคยมีตัวตนจริงๆ อยู่ในประวัติศาสตร์แน่
อันที่จริงแล้วการที่จะอ้างว่า ‘โต๋วหมู่หยวนจุน’ เป็น ‘เทพีแห่งดาวเหนือ’ เองก็คงไม่ถูกเสียทีเดียวนัก เพราะชาวจีนโบราณถือว่า ‘พระจักรพรรดิทั้งเก้า’ เป็นสัญลักษณ์ของดวงดาวทั้ง 7 ดวง ที่ประกอบกันขึ้นมาเป็น กลุ่มดาวหมีใหญ่ บวกเข้ากับดาวเหนือ (Polaris, ซึ่งอยู่ในกลุ่มดาวหมีเล็ก) และดาวเวก้า (Vega, ซึ่งอยู่ในกลุ่มดาวพิณ และเป็นดาวเหนือดวงเดิมเมื่อ 14,000 ปีที่แล้ว) อีก 2 ดวง รวมเป็น 9 ดวง คือ 9 จักรพรรดิ ซึ่งชาวจีนใช้ในการกำหนดทิศยามค่ำคืน และตรวจสอบฤดูกาลเสียมากกว่า
ชาวจีนเรียกกลุ่มดาวหมีใหญ่ (ที่คนไทยโบราณเรียกว่ากลุ่มดาวจระเข้ ส่วนฝรั่งเรียกกว่ากลุ่มดาวคันไถ หรือกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ แล้วแต่ชนชาติ แล้วแต่วัฒนธรรม) ว่ากลุ่มดาว ‘เป่ยโต่วซิง’ 
คำว่า ‘โต่ว’ ในภาษาจีนมีสองความหมาย หนึ่งคือภาชนะรูปสี่เหลี่ยมใช้ในการตวง ทำให้คนทั่วไป แม้กระทั่งชาวจีนส่วนใหญ่ในปัจจุบันเอง เข้าใจว่าคนจีนโบราณเห็นดวงดาวกลุ่มนี้เป็นรูป ‘กระบวย’ ไม่ต่างไปจากฝรั่ง แต่ที่จริงแล้วคำว่า ’โต่ว’ ในภาษาจีนโบราณยังเป็นศัพท์เฉพาะที่หมายถึง ‘กลุ่มดาว’ 
นอกเหนือจาก เป่ยโต่วซิง คือกลุ่มดาวหมีใหญ่ ที่ฝรั่งบางกลุ่มเห็นเป็นรูปกระบวยแล้ว ยังมีกลุ่มดาวหนานโต่วซิง (‘เป่ย’ แปลว่า ‘เหนือ’ ส่วน ‘หนาน’ แปลว่า ‘ใต้’) และกลุ่มดาวโต่ว ที่ไม่ได้มีรูปร่างหน้าตากระเดียดไปทางกระบวยเลยสักนิด
ในความเชื่อของลัทธิเต๋าอ้างว่า มีเทพของกลุ่มดาวโต่วทั้งหมด 5 กลุ่ม ประกอบไปด้วย ‘เป่ยโต่วซิงจฺวิน’ ประจำทิศเหนือ, ‘หนานโต่วซิงจฺวิน’ ประจำทิศใต้, ‘ตงโต่วซิงจฺวิน’ ประจำทิศตะวันออก, ‘ซีโต่วซิงจฺวิน’ ประจำทิศตะวันตก และ ‘จงโต่วซิงจฺวิน’ ประจำตำแหน่งศูนย์กลาง 
แน่นอนว่า ‘เป่ยโต่วซิงจฺวิน’ คือเทพประจำกลุ่มดาวทางทิศเหนือ ประกอบไปด้วย 1) ทางหลางซิงจฺวิน 2) จฺวี้เหมินซิงจฺวิน 3) ลฺวี่ฉุนซิงจฺวิน 4) เหวินฉฺวี่ซิงจฺวิน 5) เหลี่ยนเจินซิงจฺวิน 6) อู๋ฉฺวี่ซิงจวิน และ 7) พ่อจฺวินซิงจฺวิน ทั้งหมดนี้รวมกันเป็นกลุ่มดาวหมีใหญ่ จักรพรรดิแต่ละพระองค์จึงหมายถึงดวงดาวแต่ละดวง ซึ่งเป็นคติความเชื่อที่เก่าแก่
เมื่อเพิ่มเติมด้วยพระจักรพรรดิอีกสองพระองค์คือ ฟู่ซิงจฺวิน และปี้ซิงจฺวิน ซึ่งเชื่อว่าเป็นฝาแฝดกันและคือตัวแทนดาวเหนือ และดาวเวก้า (ซึ่งก็คือดาวเหนือเก่าและใหม่ทั้งหมดจึงเรียกว่า ‘พระจักรพรรดิทั้งเก้า หรือที่เรียกในภาษาจีนว่า ‘จิ่วหวงต้าตี้’ หรือ ‘จิ่วหวงซิงจฺวิน ซึ่งเป็นบุตรชายของเทพีโตว๋หมู่หยวนจุนนั่นเอง
นอกจากที่ชาวจีนจะรู้จักใช้ดาวเหนือ และกลุ่มดาวเป่ยโตว่ คือกลุ่มดาวหมีใหญ่ ในการกำหนดทิศทางในยามค่ำคืนมาตั้งแต่ 4,000 ปีมาแล้ว คนจีนในสมัยโบราณยังใช้หางของกลุ่มดาวเป่ยโตว่ (ซึ่งคือดาวดวงปลายสุดของอีกด้านของดวงที่ชี้ไปยังดาวเหนือ) ในการกำหนดฤดูกาล 
กล่าวคือ ในฤดูใบไม้ผลิหางของกลุ่มดาวเป่ยโตว่จะชี้ไปทางทิศตะวันออก ฤดูร้อนหางจะชี้ไปทางทิศใต้ ฤดูใบไม้ร่วงหางจะชี้ไปทางทิศตะวันตก และฤดูหนาวหางจะชี้ไปทางทิศเหนือ 
จึงไม่แปลกอะไรเลยที่ชาวจีนจะถือว่า กลุ่มดาวเป่ยโตว่เปรียบเสมือนราชรถของเง็กเซียนฮ่องเต้ เพราะกลุ่มดาวดังกล่าวไม่ต่างไปจากแกนของจักรวาลที่เคลื่อนหมุนไปทีละน้อยจนทำให้เกิดฤดูกาล คือความอุดมสมบูรณ์ต่างๆ 
และก็ไม่แปลกอะไรอีกเช่นกัน ที่ลักษณะเช่นนี้จะทำให้บางครั้งเทพีโตว๋หมู่หยวนจุน จะถูกถือว่าเป็นพระนางซีหวังหมู่ คือจักรพรรดินีแห่งสวรรค์ทางทิศตะวันตก
(ดาวเหนือยังถูกเรียก ‘จื่อเวย์ชิง’ หมายถึง ‘ดวงดาวแห่งจักรพรรดิ’ เฉพาะคำว่า ‘จื่อ’ หมายถึง ‘สีม่วง’ ก็ได้ ชื่อเดิมของ ‘กู้กง’ พระราชวังต้องห้าม ที่ประทับและออกว่าราชการของจักรพรรดิจีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงและชิง จึงถูกเรียกว่า ‘จื่อจิ้นเฉิง’ ซึ่งแปลว่า ‘เมืองต้องห้ามของพระจักรพรรดิ’ เพราะ ‘จิ้น’ แปลว่า ‘ห้าม’ ส่วน ‘เฉิง’ แปลว่า ‘เมือง’ พระราชวังแห่งนี้ไม่ได้มีสีม่วงเลยสักนิด แต่หมายถึงจักรพรรดิของจีีนต่างหาก)
เทศกาล จิ่วหวงเซิ่งหุ้ย ที่ไทยเราเรียกกันว่า ‘เทศกาลกินเจ จึงเป็นเทศกาลที่ว่าด้วยพิธีกรรมเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ (fertility rite) เพราะจะจัดขึ้นตรงกับวันขึ้น ค่ำ เดือน ไปจนถึงวันขึ้น ค่ำเดือน ตามปฏิทินจันทรคติของจีน ซึ่งเป็นช่วปลายฤดูใบไม้ร่วง ต่อต้นฤดูหนาว ที่กลางคืนจะเริ่มยาวกว่ากลางวัน
ควรสังเกตด้วยว่า โดยปกติแล้วพื้นที่ที่มีการจัดเทศกาลกินเจในอุษาคเนย์ จะมีศาลเจ้าของจิ่วหวงซิงจฺวิน หรือพระจักรพรรดิทั้งเก้าอยู่เสมอ อย่างเช่นที่ เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย ก็มีศาลเจ้าขนาดใหญ่ของจิ่วหวงซิงจฺวิน ซึ่งถูกใช้เป็นศูนย์กลางของเทศกาลกินเจ เช่นเดียวกับในประเทศสิงคโปร์ และอินโดนีเซียด้วย
ความเข้าใจเช่นนี้คงจะเคยเป็นที่รับรู้ในหมู่คนไทยเชื้อสายจีน และคนจีนที่เข้ามาอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ​ ด้วยเช่นกัน เพราะในหนังสือลัทธิของเพื่อน ที่พระยาอนุมานราชธน เป็นผู้ประพันธ์ขึ้นนั้นได้กล่าวถึง รูปพระจักรพรรดิทั้งเก้าเอาไว้ว่า
รูปเจ้าเหล่านี้รวมด้วยกันเก้าตน ล้วนเป็นโอรสของไซอ๋วงบ๋อ(หมายถึง พระนางซีหวังหมู่ ผู้เป็นจักรพรรดินีแห่งสวรรค์ทางทิศตะวันตก, ผู้เขียน) ตามศาลากินเจย่อมมีไว้เสมอแต่รู้สึกว่า เรื่องออกจะยุ่งอยู่เพราะสอบถามเพื่อนจีนที่อยู่ในนั้นไม่ได้ความรู้อะไรพิเศษยังค้นหาเรื่องราวไม่ได้ละเอียด จึงขอยุติไว้ก่อน.”
รูปพระจักรพรรดิทั้งเก้าที่พระยาอนุมานราชธนกล่าวถึง ประดิษฐานอยู่ในวัดมังกรกมลาวาส ย่านเยาวราช กรุงเทพฯ ทุกวันนี้ก็ยังมีตั้งไว้ให้เข้าไปเคารพบูชาได้อยู่ 
แต่จะเห็นได้ว่าทั้ง พระยาอนุมานราชธน ซึ่งมีชื่อเดิมว่า หลีกวงหยง (อันเป็นที่มาของชื่อไทยว่า ยงของท่านและเพื่อนคนจีนแท้ๆ ของท่านนั้น ก็ไม่ทราบถึงความเชื่่อเกี่ยวกับรูปพระจักรพรรดิทั้ง 9 นี้ดีนัก ผิดกับกลุ่มประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และกลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่างของไทย ที่ยังมีร่องรอยให้สืบสาวได้มากกว่า

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘