Japan Post Holdings ไอพีโอที่ใหญ่ที่สุดในโลกของปีนี้ เตรียมซื้อขายในตลาดหุ้นญี่ปุ่นพรุ่งนี้
Japan
Post Holdings
บริษัทนอกตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นซึ่งรัฐบาลเป็นเจ้าของ
เตรียมนำหุ้นไอพีโอของบริษัทเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นประเทศญี่ปุ่นวันพรุ่งนี้
(4 พฤศจิกายน 2015) หลังจากการเสนอขายแก่ประชาชนช่วงที่ผ่านมา จนทำให้กลายเป็นไอพีโอที่ใหญ่ที่สุดในโลกของปีนี้
การทำไอพีโอของ Japan Post Holdings นั้นเป็นการขายหุ้นที่รัฐบาลญี่ปุ่นถืออยู่ 100% ออกมาถึง 3 บริษัทๆ ละ 11% (เข้าตลาดหุ้นพร้อมกัน 3 บริษัท) ประกอบด้วย (1) Japan Post Holdings ซึ่งเป็นโฮลดิ้งที่ถือหุ้นใน 3 บริษัทคือ Japan Post Bank, Japan Post Insurance และ Japan Post Postal Services (2) Japan Post Bank และ (3) Japan Post Insurance โดยตัวเลขเบื้องต้นที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้จากการขายหุ้นส่วนของตนออกมาทั้ง 3 บริษัท อยู่ราว 12,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 420,000 ล้านบาท
โครงสร้างของ Japan Post Holdings นั้นมีความน่าสนใจ เพราะนอกจากธุรกิจดั้งเดิมอย่างบริการไปรษณีย์ที่มีสาขากว่า 24,000 แห่งทั่วญี่ปุ่น บริษัทยังเป็นเจ้าของบริษัทประกันชีวิต Japan Post Insurance ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นและใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ส่วนอีกบริษัทคือ Japan Post Bank ซึ่งประกอบธุรกิจธนาคาร ก็เป็นธนาคารที่มีเงินฝากสูงที่สุดในโลก คือมากกว่า 1.67 ล้านล้านดอลลาร์
อ่านถึงตรงนี้ก็คงสงสัยว่าแล้วรัฐบาลจะขายหุ้นบางส่วนออกมาทำไมถ้าธุรกิจ ดูโดดเด่นขนาดนี้ สาเหตุเนื่องจากธุรกิจในมืออย่างไปรษณีย์นั้นมีผลประกอบการขาดทุนเล็กน้อยมา ตลอด ซึ่งต้องการการปรับโครงสร้าง
ขณะที่ธุรกิจธนาคาร แม้จะมีเงินฝากมากมหาศาล แต่ธนาคารเองกลับมีสาขาอยู่เพียง 230 แห่งเท่านั้น โดยใช้สาขาไปรษณีย์เป็นที่ทำธุรกรรมส่วนใหญ่ อีกทั้งการลงทุนในเงินฝากเกือบทั้งหมดก็อยู่ในพันธบัตรรัฐบาลที่ให้ผลตอบแทน เพียง 0.3% ต่อปี ซึ่งเป็นการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยมเนื่องจากรัฐบาลเป็นเจ้าของ ซึ่งตามแนวทางของนายกรัฐมนตรี Shinzo Abe นั้นต้องการให้การลงทุนของ Japan Post Bank ยืดหยุ่นและกล้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้นสามัญ หรือพันธบัตรต่างประเทศมากขึ้น จึงต้องปรับโครงสร้างโฮลดิ้งให้เป็นเอกชนมากขึ้น โดยในแผนนั้นรัฐบาลมีแผนจะขายหุ้นออกมาเพิ่มเติมในอนาคตอีก
นักวิเคราะห์มองว่าผลของการทำไอพีโอนี้ยังอาจทำให้ประชาชนญี่ปุ่น สนใจลงทุนในหุ้นสามัญมากขึ้น เพราะผลตอบแทนเบื้องต้นของ Japan Post Holdings นั้นอยู่ราว 2% ซึ่งดีกว่าการซื้อพันธบัตรรัฐบาลอยู่มาก อีกทั้งเมื่อบริษัทเข้าตลาดหุ้น เม็ดเงินสินทรัพย์ที่บริษัทมีอยู่มหาศาลก็น่าจะปรับเปลี่ยนออกจากพันธบัตร มาสู่ตลาดหุ้น ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้ฟื้นตัวดีมากขึ้นนั่นเอง
การทำไอพีโอของ Japan Post Holdings นั้นเป็นการขายหุ้นที่รัฐบาลญี่ปุ่นถืออยู่ 100% ออกมาถึง 3 บริษัทๆ ละ 11% (เข้าตลาดหุ้นพร้อมกัน 3 บริษัท) ประกอบด้วย (1) Japan Post Holdings ซึ่งเป็นโฮลดิ้งที่ถือหุ้นใน 3 บริษัทคือ Japan Post Bank, Japan Post Insurance และ Japan Post Postal Services (2) Japan Post Bank และ (3) Japan Post Insurance โดยตัวเลขเบื้องต้นที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้จากการขายหุ้นส่วนของตนออกมาทั้ง 3 บริษัท อยู่ราว 12,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 420,000 ล้านบาท
โครงสร้างของ Japan Post Holdings นั้นมีความน่าสนใจ เพราะนอกจากธุรกิจดั้งเดิมอย่างบริการไปรษณีย์ที่มีสาขากว่า 24,000 แห่งทั่วญี่ปุ่น บริษัทยังเป็นเจ้าของบริษัทประกันชีวิต Japan Post Insurance ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นและใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ส่วนอีกบริษัทคือ Japan Post Bank ซึ่งประกอบธุรกิจธนาคาร ก็เป็นธนาคารที่มีเงินฝากสูงที่สุดในโลก คือมากกว่า 1.67 ล้านล้านดอลลาร์
อ่านถึงตรงนี้ก็คงสงสัยว่าแล้วรัฐบาลจะขายหุ้นบางส่วนออกมาทำไมถ้าธุรกิจ ดูโดดเด่นขนาดนี้ สาเหตุเนื่องจากธุรกิจในมืออย่างไปรษณีย์นั้นมีผลประกอบการขาดทุนเล็กน้อยมา ตลอด ซึ่งต้องการการปรับโครงสร้าง
ขณะที่ธุรกิจธนาคาร แม้จะมีเงินฝากมากมหาศาล แต่ธนาคารเองกลับมีสาขาอยู่เพียง 230 แห่งเท่านั้น โดยใช้สาขาไปรษณีย์เป็นที่ทำธุรกรรมส่วนใหญ่ อีกทั้งการลงทุนในเงินฝากเกือบทั้งหมดก็อยู่ในพันธบัตรรัฐบาลที่ให้ผลตอบแทน เพียง 0.3% ต่อปี ซึ่งเป็นการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยมเนื่องจากรัฐบาลเป็นเจ้าของ ซึ่งตามแนวทางของนายกรัฐมนตรี Shinzo Abe นั้นต้องการให้การลงทุนของ Japan Post Bank ยืดหยุ่นและกล้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้นสามัญ หรือพันธบัตรต่างประเทศมากขึ้น จึงต้องปรับโครงสร้างโฮลดิ้งให้เป็นเอกชนมากขึ้น โดยในแผนนั้นรัฐบาลมีแผนจะขายหุ้นออกมาเพิ่มเติมในอนาคตอีก
นักวิเคราะห์มองว่าผลของการทำไอพีโอนี้ยังอาจทำให้ประชาชนญี่ปุ่น สนใจลงทุนในหุ้นสามัญมากขึ้น เพราะผลตอบแทนเบื้องต้นของ Japan Post Holdings นั้นอยู่ราว 2% ซึ่งดีกว่าการซื้อพันธบัตรรัฐบาลอยู่มาก อีกทั้งเมื่อบริษัทเข้าตลาดหุ้น เม็ดเงินสินทรัพย์ที่บริษัทมีอยู่มหาศาลก็น่าจะปรับเปลี่ยนออกจากพันธบัตร มาสู่ตลาดหุ้น ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจญี่ปุ่นให้ฟื้นตัวดีมากขึ้นนั่นเอง