ในยามตลาดหุ้นผันผวนหนัก เคยมั้ยครับที่รู้สึกว่าการลงทุนในหุ้นล้วน ๆ
แล้วมีความผันผวนมากเกินไปจนทำให้นอนไม่ค่อยหลับ
ขณะเดียวกันการลงทุนในเงินฝาก
และตราสารหนี้อย่างเดียวนั้นก็มีผลตอบแทนน้อยไปหน่อย
บางปีผลตอบแทนที่ได้อาจจะต่ำกว่าราคาข้าวของที่แพงขึ้นด้วยซ้ำไป
และผลตอบแทนที่ต่ำเกินไปย่อมเป็นการยากที่จะนำคุณไปสู่อิสรภาพทางการเงิน
เงิน 100 บาทหากได้ผลตอบแทนปีละ 3% ทบต้นทบดอกไป 10 ปีจะกลายเป็น 134 บาท
แต่หากผลตอบแทน 10% ต่อปีเงิน 100 บาทเดียวกันนั้น จะเป็น 259 บาท
ถ้าคุณรู้สึกเช่นนี้ การลงทุนใน Balanced Fund
คือคำตอบหนึ่งที่เหมาะกับคุณครับ
Balanced Fund
กองทุนชนิด Balanced Fund
เป็นกองทุนชนิดที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก
โดยเฉลี่ยจะมีการลงทุนในหุ้นประมาณ 60 – 70%
ส่วนที่เหลือเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ ในช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัวดี
กำไรของบริษัทจดทะเบียนเติบโต ตลาดหุ้นก็มักจะให้ผลตอบแทนที่ดี
ธนาคารกลางมักจะทยอยปรับเพิ่มดอกเบี้ยเพื่อชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจทำให้
ผลตอบแทนของตราสารหนี้ไม่ดีนัก ในทางกลับกัน ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว
ตลาดหุ้นมักจะให้ผลตอบแทนไม่ค่อยดี
ธนาคารกลางก็จะทยอยลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ผลตอบแทนของตราสารหนี้ก็จะดีเป็นพิเศษ
ด้วยธรรมชาติของหุ้นและตราสารหนี้ที่ราคามักเคลื่อนไหวสวนทางกัน
เมื่อจับมารวมกันจึงทำให้เกิดประโยชน์จากการกระจายการลงทุน
(Diversification) ทำให้ความเสี่ยงและความผันผวนของกองทุน Balanced Fund
อยู่ในระดับปานกลาง และมีความสม่ำเสมอในผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนในหุ้นล้วน ๆ
อย่างเดียว อีกทั้งสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ 60 – 70%
ยังเป็นสัดส่วนที่สมดุลกันระหว่างการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ในการสร้างผล
ตอบแทนเมื่อเทียบกับระดับความเสี่ยงที่ดีที่สุด
กองทุนประเภทนี้จึงเหมาะกับทั้งนักลงทุนหน้าใหม่ที่อยากเริ่มมีสัดส่วนการลง
ทุนในหุ้น รวมไปถึงนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวและไม่มีเวลามาจับจังหวะ
ซื้อ ๆ ขาย ๆ ในแต่ละช่วงวัฎจักรเศรษฐกิจ
เรียกได้ว่าการลงทุนในกองทุนชนิดนี้เหมาะกับตลาดทุกสภาวการณ์
และนักลงทุนเองก็ไม่ต้องไปซื้อกองทุนหลาย ๆ กอง
เพราะกองนี้กองเดียวก็มีการกระจายการลงทุนที่ครบถ้วนในสินทรัพย์หลักทั้งสอง
ชนิด
Balanced Fund กับ เทคนิค “ซื้อถูก ขายแพง”
“หุ้นช่วงนี้ลงหนัก เราปิดพอร์ตหนีตายไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ขายตอนนี้ระวังติดดอยนะ”
“ช่วงนี้หุ้นกำลังขึ้นตลอด เราไล่ซื้อเก็บไว้เยอะเลย ไม่ซื้อตกรถไฟเสียดายแย่”
ผมมักได้ยินคำพูดทำนองนี้จากเพื่อน ๆ ที่ลงทุนในตลาดหุ้นบ้านเรา
ฟังแล้วบางครั้งก็อดเป็นห่วงไม่ได้
เพราะถ้าเวลาตลาดลงก็เท่ากับราคาหุ้นมันถูกลงมาแล้วเราขาย
เวลาตลาดหุ้นขึ้นเท่ากับว่าราคามันแพงขึ้นแล้วเราซื้อ
บ่อยครั้งอาจจะจบลงด้วยการ “ซื้อแพง ขายถูก”
แนวทางข้างต้นในทางการเงินเรียกว่าการลงทุนแบบ Momentum
คือรอให้ตลาดมีสัญญาณก่อนจึงค่อยปรับตัวตาม เช่น
ถ้าหุ้นเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นซักระยะเวลาหนึ่ง ก็เป็นสัญญาณเข้าลงทุน
หรือถ้าหุ้นเริ่มตกซักระยะ ก็เป็นสัญญาณในการขายหุ้น ซึ่งกลยุทธ์แบบ
Momentum
ดังกล่าวจะใช้ได้ผลในตลาดแบบทางเดียวกล่าวคือเวลาขึ้นหรือลงแต่ละรอบเกิด
ขึ้นต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลายาว ๆ
สำหรับกองทุนประเภท Balanced Fund โดยมากจะใช้วิธีการปรับพอร์ตแบบ
Rebalancing จากจุดเริ่มต้นที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นประมาณ 65%
หากตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นมากจนทำให้สัดส่วนการลงทุนในหุ้นมากขึ้นเป็น 70 –
75% กองทุนก็จะขายทำกำไรออกมา หรือเรียกว่า Rebalance
สัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลับไปที่ 65%
ในกรณีที่ตลาดปรับตัวลงค่อนข้างแรงจนสัดส่วนการลงทุนในหุ้นตกลงไปที่ 55 –
60% กองทุนก็สามารถเข้าไปช้อนซื้อให้สัดส่วนกลับไปที่ 65%
ส่วนตัวที่ผมชื่นชอบแนวทางการลงทุนแบบ Rebalancing
เพราะเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้เราได้ “ซื้อตอนลง และขายตอนขึ้น” หรือเรียกได้ว่า
“ซื้อถูก ขายแพง”
นอกจากนี้เวลาราคาปรับเพิ่มขึ้นผมก็มีโอกาสได้ขายทำกำไรและเตรียมเงินสดไว้
ลงทุนเมื่อราคาปรับตัวลดลง
โดยกลยุทธ์การลงทุนแบบนี้ค่อนข้างเหมาะกับตลาดหุ้นไทยที่มีความผันผวนสูง
โดยเฉพาะในช่วงระยะเวลานี้ที่มีปัจจัยทั้งภายในภายนอกรุมเร้ามากพอสมควร
(อ่านบทความ “ปรับพอร์ตรับครึ่งหลังปีงูจงอาง 2556” ที่ http://fundmanagertalk.com/investment-strategy-2h2013/)
สำหรับนักลงทุน ผมมองว่าแนวทางแบบ Rebalancing ให้ความสงบ
และสบายใจในการลงทุนได้เยอะครับ
เมื่อก่อนเวลาตลาดขึ้นก็เครียดเพราะรู้สึกว่าตกรถไฟ
เวลาตลาดลงก็เครียดเพราะติดดอย ถ้าใช้แนวทางแบบ Rebalancing
เวลาตลาดขึ้นก็มีความสุขเพราะเป็นโอกาสให้ทยอยขายทำกำไรและตุนเงินสดไว้
เวลาตลาดลงก็ไม่เครียดเพราะมันคือช่วงเวลาที่จะได้ Shopping ของดีราคาถูก
แทนที่จะใช้เวลาส่วนมากในการนั่งดูราคาหุ้นขึ้น ๆ ลง ๆ
ก็จะมีเวลาไปศึกษาปัจจัยพื้นฐาน หาหุ้นคุณภาพดีไว้ประดับพอร์ตลงทุน
สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกท่านสมหวังกับการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังของปีงู 2556
นะครับ