คนจนมักชอบแหยง คนชั้นกลางมักแค่อยาก ส่วนคนรวยจะลงมือทำ
สมัยที่ จิม แคร์รีย์ (Jim Carrey) ยังเป็นแค่ตัวประกอบก๊อกแก๊ก
ได้ค่าตัวแค่ 100 เหรียญ เขาเคยเขียนเช็คให้ตัวเองลงวันที่ 5 ปีล่วงหน้า
เป็นจำนวนเงิน 10 ล้านเหรียญ !!
ใครเห็นเป็นต้องหาว่าเขาบ้าไปแล้วแน่ๆ แต่เขาก็ไม่สนใจ แถมยืดอกประกาศต่อหน้าเพื่อนฝูงในแวดวงการแสดงในวันนั้นอีกว่า
"สักวันหนึ่งเขาจะเป็นนักแสดงที่มีรายได้เท่าจำนวนเงินในเช็คให้ได้"
ก่อนจะเก็บเช็คใบนั้นติดตัวไว้มาตลอดหลายปี (คนอย่างงี้ก็มีด้วย...)
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ ในอีก 5 ปีให้หลัง ปรากฏว่า จิม ได้ค่าตัวจากการแสดงหนังเรื่อง Ace Ventura : When Nature Calls ตามที่เขียนไว้ในเช็คนั้นจริงๆ
ลองมาดูเรื่องราวมหาเศรษฐีไทยกันดูบ้างครับ ...
คุณ ดำรงค์ วงษ์โชติปิ่นทอง ชื่อนี้บางท่านอาจจะไม่คุ้นเคย แต่ถ้าผมเรียก อ.ดำรงค์ พิณคุณ เจ้าของหนังสือด้านการบริหารธุรกิจและจิตวิทยาความสำเร็จมากมาย อาทิเช่น
- CEO ต้องรู้
- Marketing ต้องรู้
- Marketing Idea (ไอเดียการตลาด)
- Strategy Devil (ปีศาจกลยุทธ์)
ทุกท่านคงร้อง อ๋อ... คนนี้นี่เอง เลยทีเดียว
คุณ ดำรงค์ อดีตพนักงานบริษัทกินเงินเดือนแค่พอใช้ไปวันๆ เหมือนคนส่วนใหญ่ในประเทศ ตอนอายุได้เพียง 26 เขามองเห็นลู่ทางการค้าเกี่ยวกับการนำเข้าเก้าอี้นวดไฟฟ้าเพื่อสุขภาพจาก ไต้หวันว่าเป็นธุรกิจตัวหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากงานประจำ ทั้งๆที่กำลังไปได้ดี (บ้าไปแล้ว...)
เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยเงินที่ออมมาจากงานประจำเพียง 2-3 แสนบาท ตอนนั้นใครๆ ก็หาว่าเขาบ้า! ใครจะบ้าซื้อเก้าอี้แพงๆ ตัวเหยียบแสนไปนั่งเล่นในบ้าน แต่ด้วยเสียงของหัวใจที่เรียกร้อง เขาเลือกเฉยต่อความคิดคนรอบข้างและเอาเงินไปลงทุนในเก้าอี้นวดไฟฟ้า "Rester" สุดท้ายเขาก็กลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มที่ไต่อันดับเศรษฐีร้อยล้านได้ภายใน 10 ปี ให้หลัง ถือเป็นคนที่สร้างฐานะจากความคิดบวกต่อตนเองที่ค่อนข้างชัดเจนมากคนหนึ่ง
สิ่งที่แบ่งแยกคนกลุ่มนี้ออกจากคนทั่วไป ไม่ใช่ ต้นทุนชีวิต ความรู้หรือความพิเศษอะไรหรอกครับ แต่เป็นเพียง"ความกล้า"เท่า นั้นเอง คุณไม่จำเป็นต้องมีต้นทุนอะไรต่างๆ นาๆ ให้เพียบพร้อม ขอเพียงแค่คุณกล้าที่จะเริ่มต้น กล้าที่จะศึกษาค้นคว้า ซึ่งความกล้าไม่ต้องใช้ทุนเลย
บทความนี้ผมเอามาจากหนังสือ "ลาออกซะ ถ้าอยากรวย!"
ปิดท้ายนี้ ผมขอยกคำพูดหนึ่งประโยคจากหนังสือเล่มนี้ ซึ่งผมว่ามันโดนใจจี๊ดมากสุดๆ เลยครับ
"คนจนมักชอบแหยง คนชั้นกลางมักแค่อยาก ส่วนคนรวยจะลงมือทำ"
ใครเห็นเป็นต้องหาว่าเขาบ้าไปแล้วแน่ๆ แต่เขาก็ไม่สนใจ แถมยืดอกประกาศต่อหน้าเพื่อนฝูงในแวดวงการแสดงในวันนั้นอีกว่า
"สักวันหนึ่งเขาจะเป็นนักแสดงที่มีรายได้เท่าจำนวนเงินในเช็คให้ได้"
ก่อนจะเก็บเช็คใบนั้นติดตัวไว้มาตลอดหลายปี (คนอย่างงี้ก็มีด้วย...)
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ ในอีก 5 ปีให้หลัง ปรากฏว่า จิม ได้ค่าตัวจากการแสดงหนังเรื่อง Ace Ventura : When Nature Calls ตามที่เขียนไว้ในเช็คนั้นจริงๆ
ลองมาดูเรื่องราวมหาเศรษฐีไทยกันดูบ้างครับ ...
คุณ ดำรงค์ วงษ์โชติปิ่นทอง ชื่อนี้บางท่านอาจจะไม่คุ้นเคย แต่ถ้าผมเรียก อ.ดำรงค์ พิณคุณ เจ้าของหนังสือด้านการบริหารธุรกิจและจิตวิทยาความสำเร็จมากมาย อาทิเช่น
- CEO ต้องรู้
- Marketing ต้องรู้
- Marketing Idea (ไอเดียการตลาด)
- Strategy Devil (ปีศาจกลยุทธ์)
ทุกท่านคงร้อง อ๋อ... คนนี้นี่เอง เลยทีเดียว
คุณ ดำรงค์ อดีตพนักงานบริษัทกินเงินเดือนแค่พอใช้ไปวันๆ เหมือนคนส่วนใหญ่ในประเทศ ตอนอายุได้เพียง 26 เขามองเห็นลู่ทางการค้าเกี่ยวกับการนำเข้าเก้าอี้นวดไฟฟ้าเพื่อสุขภาพจาก ไต้หวันว่าเป็นธุรกิจตัวหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากงานประจำ ทั้งๆที่กำลังไปได้ดี (บ้าไปแล้ว...)
เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยเงินที่ออมมาจากงานประจำเพียง 2-3 แสนบาท ตอนนั้นใครๆ ก็หาว่าเขาบ้า! ใครจะบ้าซื้อเก้าอี้แพงๆ ตัวเหยียบแสนไปนั่งเล่นในบ้าน แต่ด้วยเสียงของหัวใจที่เรียกร้อง เขาเลือกเฉยต่อความคิดคนรอบข้างและเอาเงินไปลงทุนในเก้าอี้นวดไฟฟ้า "Rester" สุดท้ายเขาก็กลายเป็นนักธุรกิจหนุ่มที่ไต่อันดับเศรษฐีร้อยล้านได้ภายใน 10 ปี ให้หลัง ถือเป็นคนที่สร้างฐานะจากความคิดบวกต่อตนเองที่ค่อนข้างชัดเจนมากคนหนึ่ง
สิ่งที่แบ่งแยกคนกลุ่มนี้ออกจากคนทั่วไป ไม่ใช่ ต้นทุนชีวิต ความรู้หรือความพิเศษอะไรหรอกครับ แต่เป็นเพียง"ความกล้า"เท่า นั้นเอง คุณไม่จำเป็นต้องมีต้นทุนอะไรต่างๆ นาๆ ให้เพียบพร้อม ขอเพียงแค่คุณกล้าที่จะเริ่มต้น กล้าที่จะศึกษาค้นคว้า ซึ่งความกล้าไม่ต้องใช้ทุนเลย
บทความนี้ผมเอามาจากหนังสือ "ลาออกซะ ถ้าอยากรวย!"
ปิดท้ายนี้ ผมขอยกคำพูดหนึ่งประโยคจากหนังสือเล่มนี้ ซึ่งผมว่ามันโดนใจจี๊ดมากสุดๆ เลยครับ
"คนจนมักชอบแหยง คนชั้นกลางมักแค่อยาก ส่วนคนรวยจะลงมือทำ"