การผจญภัยกับจีนกลาง – ความสำคัญของการฝึกหัดคัดตัวจีน
ไหนๆ ก็เรียนภาษาจีนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเรียนในโรงเรียนตามหลักสูตรปกติ
หรือ จะเสียเงินเสียทองไปเรียนตามสถาบันภาษา (แบบผม)
ผมก็อยากขอฝากเอาไว้ว่า อย่าตั้งเป้าไว้แค่ฟังกับพูดเท่านั้นนะครับ
อยากให้มุมานะ ศึกษาไปถึงการอ่านและการเขียนด้วยเลย … หลังๆ มานี่
ด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์พกพา ทำให้หลายๆ คน
เริ่มเขียนน้อยลงไปเยอะ เพราะเวลาแชทเวลาคุยกับคนจีน ก็มักจะใช้คอมพิวเตอร์
สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต พิมพ์ๆๆ เอา ซึ่งพิมพ์ไปเป็น 拼音
(Pīnyīn) แล้วโปรแกรมมันก็หาตัวจีนที่เหมาะสมมาให้
(อาจจะต้องมีเลือกจากตัวเลือกบ้างเล็กน้อย) มันสะดวกดี
ไม่ต้องไปยุ่งยากจำเส้นยุ่บยั่บ
แต่โดยความเห็นส่วนตัว ความสำคัญของการอ่านและเขียน ก็ยังไม่เสื่อมคลายไปอยู่ดีนั่นแหละครับ ดังนั้น เรียนภาษาจีนทั้งที เอาให้ครบทั้ง 听 说 读 写 (Tīng shuō dú xiě) หรือ ฟัง พูด อ่าน เขียน ไปเลยนะครับ
และก็อย่างที่รู้ๆ กันนั่นแหละครับ ภาษาจีนเป็นตัวอักษรที่เขียนยากเอาเรื่อง เพราะแต่ละคำ ก็มีตัวอักษรเป็นของตัวเองไปเลย บางตัวเขียนเหมือนกันแต่ออกเสียงต่างกัน บางตัวเขียนต่างกันแต่ออกเสียงเหมือนกัน บางตัวอ่านได้หลายแบบ ความหมายก็เปลี่ยนไปตามคำอ่านเลย … ฉะนั้นการฝึกหัดคัดตัวจีนก็เป็นเรื่องจำเป็นครับ เพื่อจะได้คุ้นเคยกับตัวอักษรจีน ได้รู้ว่าตัวไหนเขียนยังไง มีเส้นอยู่ตรงไหนบ้าง
ผมไม่ได้ฝึกคัดตัวจีนทุกวัน (เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีซักเท่าไหร่) แต่หากมีเวลาว่าง ผมก็จะมาไล่คัดครับ แต่ผมจะคัดตัวจีนเป็นสองส่วน
ต้องไม่ลืมครับ มนุษย์เรามีความจำอยู่ 3 ระดับ
แต่โดยความเห็นส่วนตัว ความสำคัญของการอ่านและเขียน ก็ยังไม่เสื่อมคลายไปอยู่ดีนั่นแหละครับ ดังนั้น เรียนภาษาจีนทั้งที เอาให้ครบทั้ง 听 说 读 写 (Tīng shuō dú xiě) หรือ ฟัง พูด อ่าน เขียน ไปเลยนะครับ
และก็อย่างที่รู้ๆ กันนั่นแหละครับ ภาษาจีนเป็นตัวอักษรที่เขียนยากเอาเรื่อง เพราะแต่ละคำ ก็มีตัวอักษรเป็นของตัวเองไปเลย บางตัวเขียนเหมือนกันแต่ออกเสียงต่างกัน บางตัวเขียนต่างกันแต่ออกเสียงเหมือนกัน บางตัวอ่านได้หลายแบบ ความหมายก็เปลี่ยนไปตามคำอ่านเลย … ฉะนั้นการฝึกหัดคัดตัวจีนก็เป็นเรื่องจำเป็นครับ เพื่อจะได้คุ้นเคยกับตัวอักษรจีน ได้รู้ว่าตัวไหนเขียนยังไง มีเส้นอยู่ตรงไหนบ้าง
ผมไม่ได้ฝึกคัดตัวจีนทุกวัน (เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีซักเท่าไหร่) แต่หากมีเวลาว่าง ผมก็จะมาไล่คัดครับ แต่ผมจะคัดตัวจีนเป็นสองส่วน
- ส่วนแรก ผมจะคัดตัวจีนที่เป็นคำศัพท์ใหม่ที่ได้มาจากบทเรียนใหม่ๆ ที่ 老师 สอนตอนไปเรียน (ปัจจุบันเรียนทุกวันเสาร์)
- ส่วนที่สอง ระหว่างที่ผมนั่งๆ นึกๆ ทบทวน หรือ กำลังทำการบ้านแต่งประโยคที่ 老师 ให้มา แล้วเกิดผมเขียนตัวจีนตัวไหนไม่ได้ ต้องกลับไปเปิดดูตัวอย่าง คำเหล่านั้นผมจะเอากลับมาคัดอีกรอบ เพราะถ้าต้องกลับไปเปิดดูตัวอย่าง นั่นหมายความว่าผมลืมไปแล้ว ดังนั้นต้องมาคัดทบทวนกันใหม่ไงล่ะ
ต้องไม่ลืมครับ มนุษย์เรามีความจำอยู่ 3 ระดับ
- ระดับแรกเรียก Sensory memory เป็นความทรงจำระดับประสาทสัมผัส ชั่วคราวสุดๆ ทิ้งไว้แป๊บเดียวหาย เช่น เวลาหยิกเนื้อตัวเองแล้ว ความเจ็บจากการหยิกจะยังคงอยู่กับผิวหนังของเราไปอีกระยะหนึ่ง เป็นต้ย
- ระดับที่สองเรียก Short-term memory เป็นความทรงจำระยะสั้น จำได้ประเดี๋ยวประด๋าว แต่ก็นานกว่า Sensory memory พอสมควร ตัวอย่างของความทรงจำระดับนี้คือ เวลามีคนบอกเบอร์โทรศัพท์เรามา เราก็จำได้แว้บนึงเพื่อเอาไปบันทึกลงโทรศัพท์ แต่พอผ่านไปซักหลายๆ นาที เราก็อาจจะลืมเบอร์โทรศัพท์นั้นไปแล้ว
- ระดับที่สามเรียก Long-term memory ซึ่งนักจิตวิทยาเชื่อว่าเป็นความทรงจำระดับที่ไม่มีทางหายไปจากสมองของ มนุษย์ แต่หากไม่ได้เรียกใช้บ่อยๆ ก็อาจจะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “ลืม” ได้ แต่หากมีอะไรบางอย่างมากระตุ้น ก็อาจจะทำให้จดจำได้อีกครั้ง เช่น คนที่เคยเรียนภาษาจีนมาก่อนแต่ห่างหายไปนาน หากกลับมาเรียนใหม่ ก็มีแนวโน้มที่จะเรียนได้ไวกว่าคนอื่น … การที่จะให้จดจำสิ่งต่างๆ ถึงในระดับนี้ได้ ก็ต้องเกิดจากการพบเห็น ได้ยิน หรือทำซ้ำๆ ครับ และหลังจากนั้นจะจำได้แม่นหรือลืมไปเลย ก็อยู่ที่ว่าเราได้ทำการทบทวนสิ่งนั้นบ่อยแค่ไหน