ไปรษณีย์ญี่่ปุ่น

ดิฉัน ไม่ได้เขียนเรื่องหุ้นมาหลายเดือน มาเดือนนี้มีเรื่องตื่นเต้นสำหรับวงการตลาดทุนโลกเล็กน้อย จึงต้องรีบนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านค่ะ

หัวข้อเรื่องวันนี้ดู ไม่เป็นหุ้นเลยนะคะ แต่เมื่อวันพุธที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หุ้นที่ออกเสนอขายต่อประชาชนครั้งแรกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลกในปี 2558 ได้เข้าไปจดทะเบียนซื้อขายเป็นวันแรกในตลาดหุ้นโตเกียว หุ้นนั้นคือ Japan Post Holdings ใช้สัญญลักษณ์ย่อว่า 6178

ดีลนี้เป็นการขาย หุ้นออกใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในช่วงสองสามปีนี้ โดยรัฐขายหุ้นอกมา 11% ก่อนในช่วงนี้ ด้วยมูลค่าประมาณ 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นการขายหุ้นที่ใหญ่อันดับสามรองจาก อะลีบาบา ที่เสนอขายหุ้นมูลค่า 25,000 ล้านเหรียญในเดือนพฤษภาคม 2557 และ Facebook ที่เสนอขายในมูลค่า 16,000 ล้านเหรียญในปี 2555

Japan Post Holdings ไม่ได้ดำเนินธุรกิจไปรษณีย์อย่างเดียวนะคะ แต่เป็นสถาบันการเงิน ที่รับฝากเงินจากประชาชน และขายประกันภัย โดยมีบริษัทแม่เป็นบริษัทโฮลดิ้ง ชื่อ Japan Post Holdings (6178) และมีบริษัทลูกที่พ่วงเข้าตลาดไปในคราวนี้ด้วย 2 บริษัทคือ ธนาคารพาณิชย์ที่มียอดเงินฝากสูงสุดของญี่ปุ่น ชื่อ Japan Post Bank Co., Ltd. (7182) และ Japan Post Insurance Co., Ltd. (7181) ซึ่งเป็นบริษัทประกันที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในญี่่น

ไปรษณีย์ ญี่ปุ่นมีพนักงานทั้งเครือ 200,000 คน มีสาขา 24,000 สาขา มีสินทรัพย์ทั้งกลุ่ม ประมาณ 15.3 ล้านล้านเยน (ประมาณ 4.5 ล้านล้านบาท) นอกจากการทำธุรกิจ ไปรษณีย์ ธนาคารพาณิชย์ และประกันภัยแล้ว นี้ยังมีการลงทุนใน บริษัท Australia’s Toll Holdings ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งและโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียอีกด้วย

กรณี นี้ถือเป็นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่ปี 1987 ที่มีการนำเอา NTT (Nippon Telegraph & Telephone Corporation : 9432) เข้าจดทะเบียนซื้อขาย

เหตุผลของการที่ประชาชนยอมให้นำรัฐ วิสาหกิจกลุ่มนี้ออกมาแปรรูปทั้งๆที่มีการคัดค้านกันมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สมัยนายกรัฐมนตรี โคอิซุมิ นำเสนอเมื่อปี 2548 ท้ายที่สุดผู้คัดค้านยอมจำนน เพราะให้เหตุผลว่า จะนำเงินไปช่วยบูรณะฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนา มิเมื่อปี 2554

ราคาเสนอขายต่อประชาชน หรือ Initial Public Offering (IPO) Price ของบริษัทโฮลดิ้ง ที่ 1,400 เยน ซึ่งเป็นราคา 0.41 เท่าของมูลค่าตามบัญชีของหุ้น สำหรับหุ้นของธนาคารเจแปนโพสต์ (Japan Post Bank) ตั้งราคาเสนอขายครั้งแรกที่ 1,450 เยน

ซึ่งคิดเป็น 0.47 เท่าของมูลค่าหุ้นตามบัญชี และหุ้นของบริษัทประกัน (Japan Post Insurance) ตั้งราคาเสนอขายไว้ 2,200 เยน ซึ่งคิดเป็น 0.67 เท่าของมูลค่าตามบัญชี ในขณะที่หุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น มีราคาซื้อขายกันที่ ประมาณ 0.7 เท่าของมูลค่าตามบัญชี

เนื่องจากราคาขายที่เสนอค่อนข้าง ต่ำ ทำให้เกิดการจองซื้ออย่างล้นหลาม และเมื่อเข้าไปซื้อขายในวันแรก ก็ปิดตลาดในสัปดาห์แรกด้วยราคาที่สวยงาม คือ หุ้นบริษัทโฮลดิ้งเพิ่มขึ้นเป็นหุ้นละ 1,755 เยน จากราคาเสนอขาย 1,400 เยน หรือกำไรประมาณ 25.35%

หุ้นบริษัทประกัน เพิ่มขึ้นเป็นหุ้นละ 3,730 เยน จากราคาเสนอขาย 2,200 เยน หรือกำไรประมาณ 69.54% และหุ้นธนาคารเพิ่มขึ้นเป็นหุ้นละ 1,718 เยน จากราคาเสนอขาย 1,450 เยน หรือกำไรประมาณ 18.48%

นอกจากนี้ จากการคาดการณ์เงินปันผล คาดว่าหุ้นกลุ่มนี้จะมีอัตราเงินปันผล 3.0 -3.5 % และหุ้นในกลุ่มที่ประกอบเป็นดัชนี Nikkei 225 ให้อัตราเงินปันผลประมาณ 1.64% เท่านั้น

ทำไมจึงมีการตั้งราคาขายหุ้นให้ต่ำ สาเหตุคือ นายกรัฐมนตรี ชินโสะ อะเบะ ตั้งใจจะให้หุ้นของไปรษณีย์ญี่ปุ่น กระจายออกไปให้ผู้ลงทุนบุคคลรายย่อยให้มากที่สุด แม้จะขายหุ้นผ่านโบรกเกอร์ชื่อดัง 70 แห่งทั่วโลก โดยมีบริษัทหลักทรัพย์โนมูระ โกลด์แมนแซค มิตซูบิชิยูเอฟเจ มอร์แกนสแตนลีย์ และ เจพีมอร์แกน เป็นแกนนำในการจำหน่ายก็ตาม แต่นโยบายการกระจายหุ้นคือ ในจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายทั้งหมด 412,442,300 หุ้นนั้น ได้กำหนดขายให้ผู้ลงทุนในประเทศ 80% และในส่วนนี้เป็นผู้ลงทุนรายย่อยมากถึง 90%

นายกรัฐมนตรีอะเบะ บอกว่า ต้องการให้คนญี่ปุ่นหันมาลงทุนมากกว่าเก็บเงินออมไว้อย่างเดียวค่ะ

และ คาดว่าจะได้ผล เพราะราคาหุ้นได้วิ่งขึ้นไป ทำให้ผู้ลงทุนมีกำไร หลายคนอาจจะลงทุนในหุ้นทุนเป็นครั้งแรก และเมื่อลงทุนแล้วได้ประสบการณ์ในการลงทุนที่ดี ย่อมมีกำลังใจในการลงทุนต่อไป อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ณ ราคาตลาดปัจจุบัน ถือว่าราคาหุ้นของทั้งสามบริษัทไม่ต่ำแล้วค่ะ

มี ผู้วิจารณ์ว่า ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดในการนำหุ้นไปรษณีย์ญี่ปุ่นออกมาแปรรูปและเข้าจด ทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นั้น คือ นโยบาย Abenomics หรือยุทธศาสตร์ลูกศร 3 ดอกของนายกรัฐมนตรี ชินโสะ อะเบะ แห่งญี่ปุ่นนั่นเอง เพราะหากผู้ลงทุนรายย่อยได้กำไรจากหุ้น ก็จะมีแรงจูงใจให้ใช้เงินจับจ่ายซื้อของ ทำให้เศรษฐกิจคึกคักขึ้นได้

ดิฉัน ยังมองอีกว่า เงินที่ได้จากการขายหุ้น นอกจากจะสามารถนำไปชดเชยเงินฟื้นฟูความเสียหายจากแผ่นดินไหวและสึนามิแล้ว ยังสามารถนำไปลดหนี้สาธารณะของญี่่ปุ่น ซึ่งเกินกว่าระดับ 200% ของจีดีพีมานานหลายปีแล้ว

ดิฉันเพิ่งเดินทางกลับมาจาก ญี่ปุ่น รู้สึกถึงความคึกคักของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อ 3 เดือนก่อนค่ะ ส่วนหนึ่งเกิดจากนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลกันไปเที่ยวเนื่องจากค่าเงินเย นอ่อน และการเปิดไม่ต้องมีวีซ่าให้นักท่องเที่ยวหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย

หมาย เหตุ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง บทความนี้มิได้มีความประสงค์จะเชิญชวนหรือเสนอแนะให้ลงทุนในหลักทรัพย์ ังกล่าวแต่อย่างใด แต่นำมาเสนอเพื่อเป็นความรู้ทั่วไป

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘