นิสัยบัฟเฟตต์

ถ้าจะพูดถึงคนที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียงมากระดับโลกและจะเป็น  “ตำนาน” ที่คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ต่อไปอีกนานนั้น  แน่นอนว่าบัฟเฟตต์ต้องเป็นหนึ่งในนั้น  นิสัยหรือพฤติกรรมของคนที่อยู่ในระดับนี้ส่วนใหญ่ที่เราได้รับรู้ก็คือ  พวกเขามีชีวิตที่หรูหรา  อยู่ในสังคมของ “คนชั้นสูง”  มีความรู้สึกและวางตัวที่อาจจะเรียกว่า  “เย่อหยิ่ง”  และ “โอ้อวดตนเอง” เป็นต้น  แต่สำหรับบัฟเฟตต์เองแล้ว  เขาไม่ได้เป็นอย่างนั้น  หรือถ้าจะมีก็น้อยกว่าคนอื่นที่อยู่ในระดับใกล้เคียงมาก  ผมไม่รู้ว่าเป็นเรื่องเฉพาะตัวหรือเป็นเพราะว่าบัฟเฟตต์เป็น  Value Investor และ VI นั้นโดยธรรมชาติมักจะมีนิสัยหรือพฤติกรรมที่แตกต่างจากคนรวยกลุ่มอื่น ตั้งแต่ต้น  พอรวยแล้วก็ยังไม่ได้เปลี่ยนนิสัยแบบคนที่รวยจากอาชีพอื่น

    มาดูกันว่าบัฟเฟตต์มีนิสัยแบบไหนที่ค่อนข้างจะแปลกจากคนรวยและมีชื่อเสียง อื่น—และคนธรรมดา  บางทีนิสัยแบบบัฟเฟตต์นั้นอาจจะเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาเป็น นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงสุด  และถ้าเป็นแบบนั้น  การเรียนรู้นิสัยบัฟเฟตต์ก็น่าจะมีประโยชน์กับนักลงทุนที่จะนำมาใช้

    นิสัยแรกที่ผมเห็นก็คือ  การให้ความรัก  นับถือ และเชื่อใจคนอื่นอย่างเต็มที่เมื่อเขาเข้าไปร่วมงานด้วย  นั่นคือ  เมื่อเขาตัดสินใจเข้าไปซื้อธุรกิจเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเบิร์กไชร์แล้ว  เขาก็จะไม่เข้าไปแทรกแซงการทำงานและการตัดสินใจเกือบทุกเรื่องยกเว้นเฉพาะ การลงทุนใหญ่ ๆ และการจัดสรรกำไรเท่านั้น  เขาจะให้ความรัก ความนับถือ  และเชื่อใจต่อคนหรือซีอีโอที่บริหารงานมากและดูเหมือนว่าจะไม่เคย “ตั้งคำถาม” อะไรกับการทำงานหรือตัดสินใจของพวกเขาเลย  สิ่งที่เขาบอกกับซีอีโอก็คือ  ให้พวกเขาคิดและทำเหมือนกับว่าพวกเขานั้นเป็นเจ้าของบริษัทเท่านั้น  การให้ความรัก  นับถือและเชื่อใจแก่คนอื่นนั้น  ทำให้บัฟเฟตต์ได้รับความรัก  ความนับถือและเชื่อใจตอบจากคนอื่นเท่า ๆ  กัน  เห็นได้จากการที่ผู้บริหารหรือซีอีโอของเบิร์กไชร์นั้นมักจะอยู่กับบัฟเฟตต์ ไปตลอดไม่ไปไหนและบัฟเฟตต์เองก็แทบจะไม่เคยให้ใครออก  เขาบอกว่าระบบของเบิร์กไชร์นั้น  “ไม่มีการเกษียณ”  สำหรับซีอีโอ

    นิสัยที่สองที่แตกต่างจากคนอื่นของบัฟเฟตต์ก็คือ  ความ  “จงรักภักดี”  ที่มีต่อสิ่งรอบตัว  ที่สำคัญก็คือ  เมื่อบัฟเฟตต์ซื้อธุรกิจมาแล้ว  เขาก็จะเก็บรักษามันไว้  “ตลอดไป”  แม้ว่าหลายกิจการนั้นพื้นฐานอาจจะเปลี่ยนไปแล้วเขาก็มักจะไม่ขายทิ้งเหมือน นักลงทุนอื่น  เขายังเก็บหุ้นไว้เพราะเขาอยู่กับมันมานานและรู้จักผู้บริหารเป็นอย่างดี  เขายินดีที่จะได้รับผลตอบแทนที่ลดลงและในที่สุดอาจจะล้มหายตายจากไป  ผมคิดว่าเขาคงคิดว่าเขาได้รับผลตอบแทนจากบริษัทมานานและมากพอแล้ว  ดังนั้น  ถ้าเขาจะเสียหายบ้างจากการที่ไม่ได้ขายมันไปก่อน  มันก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรมากนัก  นอกจากเรื่องของธุรกิจแล้ว  ผมก็รู้สึกว่าบัฟเฟตต์นั้นชอบทำอะไรซ้ำ ๆ  เดิม ๆ  เช่น  เขาชอบกินอาหารเช่น  สเต็กร้านเดิม ๆ ดื่ม โค๊กแบบเดิม ๆ เป็นสิบ ๆ ปีอย่างไม่รู้เบื่อ  ดูเหมือนว่าเขาจะ “จงรักภักดี” ต่อสิ่งที่เขาคิดว่าดีอยู่แล้วมาก  ความคิดของเขาก็คือ  ไม่รู้จะ “เสี่ยง” ไปทำไมกับของใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าดีหรือไม่

    ความคิดที่อิสระและเป็นตัวของตัวเองสูงมาก  นี่คือนิสัยอีกอย่างหนึ่งของบัฟเฟตต์  เขาไม่เคยทำตามคนอื่นหรือตามความคาดหวังของสังคม  เขาไม่เคยกลัวที่จะถูกมองว่าเป็นคน “ตกยุค” เช่นในช่วงที่หุ้นไฮเท็คเติบโตเป็น “ฟองสบู่” ช่วงปีทศวรรษปี 1990 ถึง 2000 เขาเองก็ไม่สนใจลงทุนในหุ้นเหล่านั้นเลยเพราะเขาคิดว่ามันเป็นกิจการที่มี การเปลี่ยนแปลงเร็วมากซึ่งทำให้การคาดการณ์รายได้และกำไรทำได้ยากมากและเขา เองก็ไม่รู้จักธุรกิจดีพอ  ผลงานการลงทุนของเขาจึงดูไม่ดีนักเมื่อเทียบกับคนที่ลงทุนในหุ้นไฮเท็คเหล่า นั้น   เช่นเดียวกัน  ในบางช่วงการแข่งขันทางด้านการขายประกันภัยรุนแรงมากและทุกคนต่างก็ขาย ประกันในราคาที่  “ขาดทุน” เพื่อที่จะสร้างยอดขายให้เติบโตและทำกำไรในระยะสั้น  บัฟเฟตต์ปฎิเสธที่จะทำตาม   เขา “ยอม” ถูกมองเป็นบริษัทที่กำลัง “ถดถอย” ในขณะที่บริษัทอื่นโตขึ้น  แต่แล้วเมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนไป  ฟองสบู่หุ้นไฮเท็คแตก  และบริษัทประกันที่ขายประกันราคาถูกเกินไปต้องขาดทุนหนัก  บัฟเฟตต์ก็กลับมามีผลงานที่โดดเด่นขึ้นกว่าเดิม

    นิสัยที่สี่ของบัฟเฟตต์ก็คือ  เขากำหนดขอบเขตและมาตรฐานของตนเองหรือพูดหยาบ ๆ  ก็คือ  เป็นตัวของตัวเองสูง  เขาไม่สนใจและไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ทุกเรื่องหรือทุกอุตสาหกรรม  เพราะเขาเลือกเฉพาะอุตสาหกรรมและบริษัทที่เขารู้เท่านั้น  เขากำหนด Circle of Competent หรือขอบเขตความสามารถของเขาที่เขาจะทำได้ดีและเขาจะไม่ออกจากขอบเขตนี้   สิ่งที่บัฟเฟตต์ทำนั้น  เขาก็จะหาธุรกิจหรือบริษัทที่ดูได้ง่ายเข้าใจง่ายและไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง  เขาพูดว่าเขาพยายามหารั้วเตี้ย ๆ ซักหนึ่งฟุตเพื่อที่ว่าเขาจะได้ข้ามมันไปง่าย ๆ   เขาไม่ต้องการรั้วสูง ๆ  เพื่อที่จะแสดงความสามารถในการกระโดดข้ามมัน  ดังนั้น  เราจึงเห็นหุ้นที่บัฟเฟตต์ลงทุนนั้น  ส่วนมากจึงเป็นหุ้นของธุรกิจธรรมดามากเช่น บริษัทขายซ้อสมะเขือเทศ  ร้านเฟอร์นิเจอร์  ร้านขายเครื่องประดับเพชร  บริษัทรถไฟ  ธนาคาร และอื่น ๆ  ที่เข้าใจไม่ยากและไม่เห็นจะมีอะไรน่าตื่นเต้นในยุคที่เครื่องมือสื่อ สารอย่างไอแพดเปลี่ยนรุ่นทุก 2- 3 ปีและมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ  เกิดขึ้นตลอดเวลา

    มาตรฐานที่บัฟเฟตต์ใช้เองนั้น  เขาบอกว่าเขาไม่สนใจมาตรฐานของสังคมหรือคนอื่น  เขาไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองตนเองอย่างไร  เขาแนะนำว่านักลงทุนควรที่จะมี  Inner Score Card หรือมาตรฐานที่อยู่ภายในใจของเรา  นั่นก็คือ  ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่นหรือสนใจว่าคนอื่นเขาจะมองเราอย่างไร  เราควรที่จะกำหนดมาตรฐานของตนเองว่าเราตั้งเป้าไว้เหมาะสมและทำได้ตามเป้า หรือไม่  เช่น ถ้าเราคิดว่าเราควรทำผลตอบแทนการลงทุนได้ปีละ 12% ทบต้นโดยการลงทุนในหุ้นที่มีระดับความความเสี่ยงที่ยอมรับได้  เช่นต้องลงทุนในหุ้นไม่ต่ำกว่า 5-6 ตัวและไม่มีหุ้นตัวใดที่มีสัดส่วนสูงเกิน  30%  ในกรณีแบบนี้   เราก็ต้องพยายามทำให้สำเร็จ  ไม่ใช่ว่าพอเห็นคนอื่นกำลังทำผลตอบแทนดีเยี่ยมกว่าเรา  เราก็พยายามไปเปรียบเทียบกับเขาเพราะกลัวว่าเราจะถูกมองว่าไม่มีความสามารถ เท่า  เพราะถ้าเราคิดอย่างนั้น  กลยุทธ์และวิธีการต่าง ๆ  ก็จะรวนไปหมด  และเราก็อาจจะไม่มีความสุขในการลงทุนหรือทำงาน

    นิสัยสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงและแปลกไปจากเพื่อนระดับเดียวกันของเขาก็คือ  บัฟเฟตต์นั้นแม้ว่าจะรวยเป็นอันดับ 1-3 ของโลกมานาน  แต่เขาเป็นคนที่มีความสมถะและประหยัดมาก  ดูเหมือนว่าเขาจะชอบผู้บริหารที่เน้นการลดต้นทุนการดำเนินงานโดยเฉพาะในส่วน ที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก  เขาไม่ชอบความฟุ่มเฟือยในทุกกรณี  เขาไม่ชอบผู้บริหารที่กินเงินเดือนสูงมากโดยที่ไม่ได้อิงกับผลการดำเนินงาน ของบริษัท  ตัวบัฟเฟตต์เองนั้นถ้าจำไม่ผิดเขารับเงินเดือนในฐานะของซีอีโอเบิร์กไชร์ปี ละแค่ 100,000 เหรียญซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับบริษัทที่ใหญ่ขนาดเป็น 1 ใน 10 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา  ส่วนตัวบัฟเฟตต์เองนั้น  ทุกวันนี้เขาก็ยังอยู่บ้านเดิมที่อยู่มาหลายสิบปีที่เขาซื้อมาในราคาไม่กี่ หมื่นเหรียญและน่าจะเป็นบ้านระดับชนชั้นกลาง  เขายังขับรถเองและใช้ชีวิตเหมือนคนชั้นกลางเป็นส่วนใหญ่

    หลายคนคงเถียงในใจว่านิสัยส่วนตัวของบัฟเฟตต์นั้นไม่น่าจะเกี่ยวกับความ สามารถในการลงทุนของเขา  แต่ผมเองเชื่อว่านิสัยส่วนตัวกับการลงทุนนั้นคงจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันอยู่  ผมเองได้อ่านประวัติของ VI ระดับโลกและได้ศึกษา VI เด่น ๆ หลายคนในตลาดหุ้นไทยที่ผมรู้จัก  ผมพบว่านิสัยของพวกเขาหลาย ๆ  คนนั้น  มีบางส่วนคล้าย ๆ  กับของ บัฟเฟตต์  ที่กล่าวถึง  ผมคิดว่านิสัยบางอย่างนั้นเอื้ออำนวยให้คน ๆ  นั้นกลายเป็นนักลงทุนและเข้าใจและตัดสินใจในการลงทุนได้ดีขึ้น  นิสัยบางอย่างก็ขัดแย้งกับการเป็นนักลงทุนและทำให้เขาเป็นนักลงทุนที่ดีได้ ยาก  ดังนั้น  ก่อนที่จะลงทุนโดยเฉพาะในแนว VI  เราควรวิเคราะห์นิสัยของตนเองก่อนว่า  เรามีแนวโน้มที่จะเป็น VI ที่ดีได้ไหม

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘