"กฎตัวเลข 72 " ของ วอลเตอร์ สลอส
กฎการลงทุนของ “วอลเตอร์ สลอส”
“ปัจจัยสำคัญในการทำเงินในตลาดหุ้น”
12. ฟังคำแนะนำจากคนที่คุณนับถือ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเชื่อพวกเขา โปรดจำไว้ว่ามันเป็นเงินของคุณ และโดยทั่วไปการรักษาเงินเป็นเรื่องยากกว่าการทำเงิน ถ้าคุณต้องสูญเสียเงินจำนวนมากไป การจะหาเงินจำนวนนั้นกลับมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
13. อย่าให้อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจของคุณ ความกลัวและความโลภเป็นอารมณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่มีผลต่อการซื้อและขายหุ้น
14. อย่าลืมการทำงานของผลตอบแทนทบต้น ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณสามารถสร้างผลตอบแทนได้ 12% ต่อปี และนำไปลงทุนทบต้น เงินของคุณจะเพิ่มเป็น 2 เท่าใน 6 ปี (ไม่รวมภาษี) โปรดจำ “กฎของตัวเลข 72” (Rule of 72) นำเลข 72 หารด้วยอัตราผลตอบแทนที่คุณได้รับ จะได้คำตอบว่าเงินของคุณจะเพิ่มเป็น 2 เท่าในเวลากี่ปี
15. ลงทุนในหุ้นได้เปรียบกว่าพันธบัตร การลงทุนในพันธบัตรเท่ากับเป็นการจำกัดผลกำไรของคุณ และอัตราเงินเฟ้อจะบั่นทอนอำนาจซื้อของคุณ
16. จงระมัดระวังการกู้ยืมมาลงทุน มันอาจฉุดคุณให้เสียหายได้
ทั้งหมดนั้นก็คือ กฎการลงทุนของ “วอลเตอร์ สลอส” หนึ่งในนักลงทุนระดับตำนาน ผู้ที่พิสูจน์ให้โลกการลงทุนได้เห็นว่า “การลงทุนแบบเน้นคุณค่า” นั้น แม้จะดูไม่ตื่นเต้นหวือหวา แต่ทว่าสามารถเพิ่มพูนความมั่งคั่งให้กับนักลงทุนได้เป็นอย่างดี โดยมีสถิติการลงทุนของเขาที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นเวลา ต่อเนื่องยาวนานถึง 45 ปี เป็นเครื่องยืนยัน
“ปัจจัยสำคัญในการทำเงินในตลาดหุ้น”
- ราคาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ใช้เชื่อมโยงถึงมูลค่า
- พยายามยึดมั่นอยู่กับมูลค่าของบริษัท และจำไว้ว่าหุ้นแต่ละหุ้นคือส่วนหนึ่งของธุรกิจ ไม่ได้เป็นเพียงแค่แผ่นกระดาษ
- ใช้มูลค่าตามบัญชี เป็นจุดเริ่มต้นในการประเมินมูลค่าของกิจการ (“มูลค่าตามบัญชี” หรือ “Book Value” คำนวณโดยการนำตัวเลข “สินทรัพย์” ของบริษัท มาหักลบด้วย “หนี้สิน” แล้วหารด้วยจำนวนหุ้นของบริษัท)และตรวจสอบให้แน่ใจว่าหนี้สินไม่ถึง 100% ของส่วนผู้ถือหุ้น (ซึ่งก็คือการหา “อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน” หรือ “D/E Ratio” คำนวณโดยการนำตัวเลข “หนี้สิน” หรือ “Debt” หารด้วย “ส่วนผู้ถือหุ้น” หรือ “Equity” ถ้าค่า D/E ไม่เกิน 1 แสดงว่าบริษัทนั้นมีทุนมากกว่าหนี้สิน แต่ถ้าค่า D/E เกิน 1 แสดงว่าบริษัทนั้นมีหนี้สินมากกว่าทุน)
- ต้องมีความอดทน หุ้นมักจะไม่ขึ้นแบบทันทีทันใดหลังจากที่คุณซื้อ
- อย่าซื้อหุ้นตามโพย หรือซื้อขายแบบเข้าเร็วออกเร็ว ถ้ามืออาชีพทำได้ก็ปล่อยให้เขาทำไป และอย่าขายหุ้นในยามที่มีข่าวร้าย
- อย่ากลัวที่จะเป็นตัวของตัวเอง แต่ให้แน่ใจว่าการตัดสินใจของคุณนั้นถูกต้อง แม้จะไม่ 100% ก็ตาม และพยายามมองหาจุดอ่อนในความคิดของคุณ ควรซื้อเมื่อหุ้นลงและขายเมื่อหุ้นขึ้น
- กล้ายอมรับผลที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณได้ตัดสินใจไปแล้ว
- มีหลักการในการลงทุนและพยายามปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นั่นเป็นแนวทางที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จ
- ไม่ต้องรีบขายหุ้นจนเกินไป แม้ว่าหุ้นจะขึ้นไปถึงระดับราคาที่เหมาะสม คุณไม่จำเป็นต้องรีบขายเพราะหุ้นขึ้นไป 50% หรือขายเพราะมีคนอื่นบอกให้รีบขายเพื่อทำกำไร ก่อนที่จะขายหุ้น ให้พยายามประเมินมูลค่ากิจการอีกครั้ง และดูว่ามูลค่าตามบัญชีของหุ้นที่จะขายนั้นอยู่ที่ระดับใด ดูสภาวะของตลาดหุ้น ดูว่าอัตราปันผลต่ำแต่ค่า PE สูงหรือไม่? ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์หรือไม่? ผู้คนในตลาดหุ้นมองโลกในแง่ดีเกินไปหรือเปล่า?
- ในการซื้อหุ้น มันเป็นเรื่องดีถ้าคุณสามารถซื้อหุ้นใกล้ระดับราคาต่ำสุดในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา หุ้นที่เคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ราคา 125 แล้วตอนนี้ลดลงเหลือเพียง 60 ซึ่งคุณอาจคิดว่ามันเป็นระดับราคาที่น่าสนใจ แต่ถ้าดูราคาย้อนหลังกลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ปรากฏว่าหุ้นเคยขายในราคา 20 นั่นก็เป็นไปได้ว่า ราคาหุ้นปัจจุบันอาจจะมีโอกาสอ่อนตัวลงไปกว่านี้ได้อีก
12. ฟังคำแนะนำจากคนที่คุณนับถือ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเชื่อพวกเขา โปรดจำไว้ว่ามันเป็นเงินของคุณ และโดยทั่วไปการรักษาเงินเป็นเรื่องยากกว่าการทำเงิน ถ้าคุณต้องสูญเสียเงินจำนวนมากไป การจะหาเงินจำนวนนั้นกลับมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
13. อย่าให้อารมณ์มีผลต่อการตัดสินใจของคุณ ความกลัวและความโลภเป็นอารมณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่มีผลต่อการซื้อและขายหุ้น
14. อย่าลืมการทำงานของผลตอบแทนทบต้น ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณสามารถสร้างผลตอบแทนได้ 12% ต่อปี และนำไปลงทุนทบต้น เงินของคุณจะเพิ่มเป็น 2 เท่าใน 6 ปี (ไม่รวมภาษี) โปรดจำ “กฎของตัวเลข 72” (Rule of 72) นำเลข 72 หารด้วยอัตราผลตอบแทนที่คุณได้รับ จะได้คำตอบว่าเงินของคุณจะเพิ่มเป็น 2 เท่าในเวลากี่ปี
15. ลงทุนในหุ้นได้เปรียบกว่าพันธบัตร การลงทุนในพันธบัตรเท่ากับเป็นการจำกัดผลกำไรของคุณ และอัตราเงินเฟ้อจะบั่นทอนอำนาจซื้อของคุณ
16. จงระมัดระวังการกู้ยืมมาลงทุน มันอาจฉุดคุณให้เสียหายได้
ทั้งหมดนั้นก็คือ กฎการลงทุนของ “วอลเตอร์ สลอส” หนึ่งในนักลงทุนระดับตำนาน ผู้ที่พิสูจน์ให้โลกการลงทุนได้เห็นว่า “การลงทุนแบบเน้นคุณค่า” นั้น แม้จะดูไม่ตื่นเต้นหวือหวา แต่ทว่าสามารถเพิ่มพูนความมั่งคั่งให้กับนักลงทุนได้เป็นอย่างดี โดยมีสถิติการลงทุนของเขาที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นเวลา ต่อเนื่องยาวนานถึง 45 ปี เป็นเครื่องยืนยัน