สับเปลี่ยนกองทุน LTF และ RMF เพื่อไม่ให้มีปัญหาภาษี (พร้อมวิธีทำ)
สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกครั้งกับ “บล็อกภาษีข้างถนน” โดยพรี่หนอม TAXBugnoms
เจ้าเก่าที่จะมาเล่าเรื่องภาษีให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆฟังกันอีกครั้งครับ
และหัวข้อของบทความในวันนี้คือการแชร์ประสบการณ์ในการสับเปลี่ยนกองทุน LTF
และ RMF เพื่อวางแผนลงทุนและประหยัดภาษีของตัวผมเองครับ
อะแฮ่มๆๆ ขออนุญาตออกตัวไว้สักเล็กน้อยก่อนนะครับว่าบทความในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องทฤษฎีหรือเน้นทางกฎหมายสักเท่าไร แต่เป็นประสบการณ์เชิงปฏิบัติกึ่งๆ ฮาเฮแบบขำไม่ออกของตัวผมเองนั่นแหละครับ อาจจะมีคำไม่สุภาพบ้างอะไรบ้าง ดังนั้นโปรดทำใจก่อนอ่านนะคร้าบบ (อิอิ)
แรกเริ่มเดิมทีเมื่อประมาณสองปีก่อนหน้านี้ ผมเคยเขียนบทความเรื่องการสับเปลี่ยนกองทุน LTF ไว้เหมือนกันครับ หากใครสนใจอ่านบทความและหลักการทางทฤษฏีเพิ่มเติมก็สามารถอ่านได้ในบทความ ที่มีชือว่า รู้ทะลุ LTF ตอนที่ 2 : ถ้าไม่ดีก็สับแม่มเลย! FEAT. TIF ครับ
เอาล่ะครับ อารัมภบทมาครบ 3 ย่อหน้า ก็คงถึงเวลาที่จะเข้าเรื่องแล้วสินะ – -”
แต่อย่างที่ว่า .. กองทุน LTF และ RMF ที่เราเคยเลือกลงทุนนั้นอาจจะทำผลงานได้ไม่ดีอย่างที่เราคิดไว้ แถมทาง บลจ. ที่เป็นผู้ดูแลกองทุนทั้งหลายก็มักจะมีคำพูดให้เจ็บใจเล่นๆว่า ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต #แต่เวลาเลือกเราก็ต้องมาดูผลตอบแทนในอดีตอยู่ดี #เวรกรรม TwT
ดังนั้น ถ้าหากเราไม่พอใจในผลตอบแทน ค่าธรรมเนียม หรือ นโยบายการลงทุนของกองทุนเหล่านี้ สิ่งที่เราทำได้มีอยู่ 3 วิธี คือ ตัดสินใจขายและเสียสิทธิเรื่องลดหย่อนภาษี (ไปยื่นแบบเพิ่มเติมเสียเงินเพิ่มก็ว่ากันไป) หรือ รอให้ครบกำหนดแล้วค่อยขาย (LTF รอไม่นานหน่อย ส่วน RMF อาจจะรอนานมาก) หรือ การสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนในกองทุนที่เรามีไปยังบลจ.เดียวกันหรือบลจ.อื่น ซึ่งจะไม่ถือว่าเป็นการ “ขาย” และ ผิดเงื่อนไขในการลงทุน
โดยปกติแล้วเรามักจะเลือกหนทางที่ 2 สำหรับการลงทุนใน LTF เพราะทนถือไปไม่นานเท่าไร (3 ปี 2 วันก็คือ 5 ปีปฎิทิน) พอครบแล้วก็ขายๆมันทิ้งไปลงทุนใหม่ในกอง LTD อื่นๆ ที่คิดว่าดีกว่า ซึ่งก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ไม่ได้ผิดแต่อย่างใดครับ และที่ผ่านมาผมเองก็ใช้วิธีรอถือกองทุน LTF ให้ครบกำหนดแล้วขายนี่แหละครับ
แต่เนื่องจากมีเหตุให้ต้องวางแผนเรื่องการเงินของตัวเองใหม่ หลังจากที่ทบทวนแผนการลงทุนตามที่เขียนไว้ในบทความ เมื่อนักวางแผนการเงินบอกว่า “ผมจะมีเงินเกษียณ 30 ล้านบาท” ผม เลยตั้งใจว่าในเดือนเมษายน 2559 นี้ จะทำการปรับปรุงพอร์ทการลงทุนของตัวเอง เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี 2559 ให้เรียบร้อย
จากภาพประกอบข้างบนนี้ คือ การลงทุนใน LTF และ RMF ที่ผ่านมาของผมครับ สำหรับ LTF ผมซื้อกองทุนมากมายหลากหลายที่ผลตอบแทนไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไร (แน่ล่ะ! แกเลือกกองที่ลงทุนในหุ้นต้วเดียวกันนี่ อีพรี่หนอม #อ่านหนังสือชี้ชวนหรือสรุปข้อมูลการลงทุนบ้างอะไรบ้าง) ส่วน RMF ก็ไม่ยอมน้อยหน้าเช่นเดียวกัน เลือกลงทุนในกองทุนที่ลงทุนหลากหลายมากมายประมาณ 6 กองทุน หุ้น ทองคำ หนี้ ตลาดเงิน สินทรัพย์ทางเลือก และก็พบความจริงว่า ผลตอบแทนมันช่างกระจัดกระจายคล้ายจะเป็นลม ซึ่งมันไม่ได้สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนที่แท้จริงของตัวเองตามที่วางไว้
เป้าหมายการลงทุน และ การจัดพอร์ท
เมื่อทบทวนดูแล้ว ผมพบสิ่งหนึ่งที่ทำให้แผนการลงทุนค่อนข้างพลาดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คือเรื่องของการวางเป้าหมายการลงทุนของตัวเองที่ไม่ค่อยชัดเจนครับ ถึงแม้จะนำเงินมาลงทุนได้มากขึ้นแต่กลายเป็นว่ากระจายการลงทุนไปมากเกิน เลยทำให้เพลิดเพลินเสียเปล่าไปกับค่าธรรมเนียมและกองทุนที่ไม่รู้จะลงทุนไป ทำไมมากมาย – -“
หลังจากที่ตั้งสติและยอมรับความจริงว่า “เราพลาด” ซึ่งคำว่าพลาดในที่นี้ไม่ใช่พลาดที่เลือกกองทุนเยอะเกินไปนะครับ แต่พลาดที่เลือกกองทุนไม่สอดคล้องกับเป้าหมายในการลงทุนของตัวเอง ซึ่งหลังจากปรับพอร์ทการลงทุนใหม่แล้ว ก็พบความจริงว่า เอ๊ะ! จริงๆเราซื้อแค่กองทุน LTF และ RMF อย่างละกองก็พอแล้วนี่หว่า #แล้วที่ผ่านมาคืออะไร
… ดังนั้นมันคงถึงเวลาที่จะต้องย้ายกองทุนหลากหลายมารวมกันในที่เดียวแล้วสินะ!
เมื่อสับเปลี่ยนกองทุน ไม่ใช่การขาย ชีวิตเลยโดยทำร้ายโดยไม่รู้ตัว
หากใครเป็นเพื่อนหรือติดตามเฟสบุ๊กส่วนตัวของผมคงจะได้เห็น Status ที่เล่าเรื่องการสับเปลี่ยนกองทุนรวม LTF และ RMF ของตัวเองที่ยาวเหยียดพร้อมกับคอมเม้นท์ต่างๆของเพื่อนร่วมชะตากรรมเหมือนๆ กันไปแล้ว แต่ถ้าใครยังไม่เห็นก็สามารถอ่านได้ที่นี่ครับ
Status ที่พูดมานั้นไม่ได้จะก่นด่าแต่ละ บลจ.นะครับ (เห็นไหมว่าไม่ได้เปิดเผยชื่อว่าที่ไหน – -“) แต่อยากจะชี้ประเด็นให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกคนเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมก่อน ที่จะสับเปลี่ยนกองทุน LTF และ RMF โดยการตรวจสอบเรื่องต่อไปนี้ครับ
1. ตรวจสอบนโยบายและวิธีการสับเปลี่ยนกองทุนของแต่ละบลจ.ให้เรียบร้อย โดยสิ่งที่ต้องเตรียมนั้นมีดังนี้ครับ
เอกสาร บางบลจ.ต้องการใบสับเปลี่ยนกองทุนของทางกองทุนต้นทาง (บลจ.เดิม) และกองทุนปลายทาง (บลจ.ใหม่) รวมถึงเอกสารสำเนาบัตรประชาชน ซึ่งเราต้องตรวจสอบให้ดีว่าแต่ละแห่งต้องการอะไรแน่ๆครับ แต่ผมแนะนำให้เตรียมไปให้ครบไว้ล่วงหน้าเลยครับเพราะแม้แต่บลจ.เดียวกันนั้น อาจจะต้องการเอกสารไม่เหมือนกันตามแต่ละสาขา (แป่ววว)
การเจรจากับพนักงาน สิ่งหนึ่งที่เราต้องมีนอก จากเอกสารพร้อมแล้ว คือ ข้อมูลต้องเป๊ะ รู้ว่ากองทุนเรานั้นไปลงทุนอะไร สาเหตุในการสับเปลี่ยน เพราะต้องยอมรับว่าแต่ละบลจ. รวมถึงพนักงานแต่ละสาขาของทางธนาคาร บางสาขาก็ทราบเรื่องดีมาก บางสาขาก็ไม่ทราบเลยว่าต้องทำยังไง บางสาขาก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแล ดังนั้นภาระเลยตกเป็นหน้าที่ของผู้บริโภคระดับเทพอย่างเรา คือ เตรียมข้อมูลทั้งหมดไปให้พร้อมด้วยครับ
ค่าธรรมเนียม ตรวจสอบค่าใช้จ่ายในการสับเปลี่ยนกองทุนที่แตกต่างในกันแต่ละ บลจ. บางทีคิดค่าสับเปลี่ยนเป็นค่าธรรมเนียม บางแห่งคิดเป็น % ของ NAV บางแห่งคิดหมดทุกอย่าง ตังนั้นเตรียมค่าใช้จ่ายต่างๆไปให้พร้อมด้วยครับ อาจจะต้องมีการชำระเงินเพิ่มในบางที่
2. ตรวจสอบความต้องการและเป้าหมายของตัวเองให้ครบถ้วน นอกจากทางฝั่งของบลจ.แล้ว ในตัวเราเองก็ต้องพร้อมเช่นเดียวกันครับ สำรวจตัวเองให้ดีก่อนว่าเป้าหมายในการลงทุนของเรานั้นต้องการอะไร มองให้ลึกลงไปถึงความต้องการจริงๆของตัวเอง เพราะการสับเปลี่ยนในแต่ละครั้งกินเวลานานมาก รวมถึงบางครั้งก็ต้องไปๆกลับๆธนาคารหลายสาขาเพื่อหาสาขาที่ทำรายการให้เรา ได้ ดังนั้นคิดให้ดีครับ #สับกองทุนไม่ใช่สับหมูที่เหนื่อยแล้วจะเก็บเข้าตู้เย็นได้
3. เก็บเอกสารหลักฐานหลังจากสับเปลี่ยนกองทุนไว้ด้วย เนื่อง จากการสับเปลี่ยนไม่ใช่การขาย ดังนั้นเราต้องมีหลักฐานเพื่อใช้ยืนยันเผื่อว่าอาจจะมีปัญหาในการตรวจสอบ เอกสารกับทางสรรพากร โดยทาง บลจ.จะมีการส่งเอกสารใบสับเปลี่ยนกองทุนมาให้กับเราถึงบ้านครับ ซึ่งตรงนี้แนะนำให้เก็บให้ดีและเรียบร้อยด้วยนะครับ
หรือไม่ก็มีวิธีอีกทางหนึ่งคือ เราต้องเป็นคนรักและภักดีกับ บลจ.แห่งใดแห่งหนึ่งเพียงที่เดียว โยกย้ายกองทุนทั้งหมดไปลงทุนใน บลจ.นั้นๆ แม้ว่าผลตอบแทนบางกองอาจจะทำให้เราฝันร้าย แต่ก็เพื่อความสบายใจการสับเปลี่ยนกองทุนที่ง่ายกับชีวิต แถมอาจจะได้รับสิทธิประโยชน์ในกรณีที่เงินลงทุนเยอะๆ หลักหลายล้าน เฮ้อออ อันนี้ก็เลือกเอาตามที่สบายใจนะครับ ผมคงบอกไม่ได้ว่าวิธีไหนดีกว่า
อะแฮ่มๆๆ ขออนุญาตออกตัวไว้สักเล็กน้อยก่อนนะครับว่าบทความในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องทฤษฎีหรือเน้นทางกฎหมายสักเท่าไร แต่เป็นประสบการณ์เชิงปฏิบัติกึ่งๆ ฮาเฮแบบขำไม่ออกของตัวผมเองนั่นแหละครับ อาจจะมีคำไม่สุภาพบ้างอะไรบ้าง ดังนั้นโปรดทำใจก่อนอ่านนะคร้าบบ (อิอิ)
แรกเริ่มเดิมทีเมื่อประมาณสองปีก่อนหน้านี้ ผมเคยเขียนบทความเรื่องการสับเปลี่ยนกองทุน LTF ไว้เหมือนกันครับ หากใครสนใจอ่านบทความและหลักการทางทฤษฏีเพิ่มเติมก็สามารถอ่านได้ในบทความ ที่มีชือว่า รู้ทะลุ LTF ตอนที่ 2 : ถ้าไม่ดีก็สับแม่มเลย! FEAT. TIF ครับ
เอาล่ะครับ อารัมภบทมาครบ 3 ย่อหน้า ก็คงถึงเวลาที่จะเข้าเรื่องแล้วสินะ – -”
ทำไมต้องสับเปลี่ยนกองทุน ?
เนื่องจากการลงทุนเพื่อประหยัดภาษีในกองทุน LTF และ RMF นั้นถูกจำกัดโดยเงื่อนไขที่กำหนดไว้ไม่ให้ขายก่อนกำหนด ซึ่งปัจจุบันการขาย LTF นั้นถูกกำหนดไว้ที่ 5 ปีปฎิทินและกำลังจะเปลี่ยนเป็น 7 ปีปฎิทินเร็วๆนี้ #รอกฎหมายออกอีกทีนะครับ ส่วน RMF นั้นถูกวางไว้ให้เป็นกองทุนเพื่อการเกษียณอายุ จึงกำหนดอายุในการถือครองไว้ไม่ต่ำกว่า 5 ปี และอายุ 55 ปีบริบูรณ์จึงจะสามารถขายได้แต่อย่างที่ว่า .. กองทุน LTF และ RMF ที่เราเคยเลือกลงทุนนั้นอาจจะทำผลงานได้ไม่ดีอย่างที่เราคิดไว้ แถมทาง บลจ. ที่เป็นผู้ดูแลกองทุนทั้งหลายก็มักจะมีคำพูดให้เจ็บใจเล่นๆว่า ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต #แต่เวลาเลือกเราก็ต้องมาดูผลตอบแทนในอดีตอยู่ดี #เวรกรรม TwT
ดังนั้น ถ้าหากเราไม่พอใจในผลตอบแทน ค่าธรรมเนียม หรือ นโยบายการลงทุนของกองทุนเหล่านี้ สิ่งที่เราทำได้มีอยู่ 3 วิธี คือ ตัดสินใจขายและเสียสิทธิเรื่องลดหย่อนภาษี (ไปยื่นแบบเพิ่มเติมเสียเงินเพิ่มก็ว่ากันไป) หรือ รอให้ครบกำหนดแล้วค่อยขาย (LTF รอไม่นานหน่อย ส่วน RMF อาจจะรอนานมาก) หรือ การสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนในกองทุนที่เรามีไปยังบลจ.เดียวกันหรือบลจ.อื่น ซึ่งจะไม่ถือว่าเป็นการ “ขาย” และ ผิดเงื่อนไขในการลงทุน
โดยปกติแล้วเรามักจะเลือกหนทางที่ 2 สำหรับการลงทุนใน LTF เพราะทนถือไปไม่นานเท่าไร (3 ปี 2 วันก็คือ 5 ปีปฎิทิน) พอครบแล้วก็ขายๆมันทิ้งไปลงทุนใหม่ในกอง LTD อื่นๆ ที่คิดว่าดีกว่า ซึ่งก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ไม่ได้ผิดแต่อย่างใดครับ และที่ผ่านมาผมเองก็ใช้วิธีรอถือกองทุน LTF ให้ครบกำหนดแล้วขายนี่แหละครับ
แต่เนื่องจากมีเหตุให้ต้องวางแผนเรื่องการเงินของตัวเองใหม่ หลังจากที่ทบทวนแผนการลงทุนตามที่เขียนไว้ในบทความ เมื่อนักวางแผนการเงินบอกว่า “ผมจะมีเงินเกษียณ 30 ล้านบาท” ผม เลยตั้งใจว่าในเดือนเมษายน 2559 นี้ จะทำการปรับปรุงพอร์ทการลงทุนของตัวเอง เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี 2559 ให้เรียบร้อย
จากภาพประกอบข้างบนนี้ คือ การลงทุนใน LTF และ RMF ที่ผ่านมาของผมครับ สำหรับ LTF ผมซื้อกองทุนมากมายหลากหลายที่ผลตอบแทนไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไร (แน่ล่ะ! แกเลือกกองที่ลงทุนในหุ้นต้วเดียวกันนี่ อีพรี่หนอม #อ่านหนังสือชี้ชวนหรือสรุปข้อมูลการลงทุนบ้างอะไรบ้าง) ส่วน RMF ก็ไม่ยอมน้อยหน้าเช่นเดียวกัน เลือกลงทุนในกองทุนที่ลงทุนหลากหลายมากมายประมาณ 6 กองทุน หุ้น ทองคำ หนี้ ตลาดเงิน สินทรัพย์ทางเลือก และก็พบความจริงว่า ผลตอบแทนมันช่างกระจัดกระจายคล้ายจะเป็นลม ซึ่งมันไม่ได้สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนที่แท้จริงของตัวเองตามที่วางไว้
เป้าหมายการลงทุน และ การจัดพอร์ท
เมื่อทบทวนดูแล้ว ผมพบสิ่งหนึ่งที่ทำให้แผนการลงทุนค่อนข้างพลาดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คือเรื่องของการวางเป้าหมายการลงทุนของตัวเองที่ไม่ค่อยชัดเจนครับ ถึงแม้จะนำเงินมาลงทุนได้มากขึ้นแต่กลายเป็นว่ากระจายการลงทุนไปมากเกิน เลยทำให้เพลิดเพลินเสียเปล่าไปกับค่าธรรมเนียมและกองทุนที่ไม่รู้จะลงทุนไป ทำไมมากมาย – -“
หลังจากที่ตั้งสติและยอมรับความจริงว่า “เราพลาด” ซึ่งคำว่าพลาดในที่นี้ไม่ใช่พลาดที่เลือกกองทุนเยอะเกินไปนะครับ แต่พลาดที่เลือกกองทุนไม่สอดคล้องกับเป้าหมายในการลงทุนของตัวเอง ซึ่งหลังจากปรับพอร์ทการลงทุนใหม่แล้ว ก็พบความจริงว่า เอ๊ะ! จริงๆเราซื้อแค่กองทุน LTF และ RMF อย่างละกองก็พอแล้วนี่หว่า #แล้วที่ผ่านมาคืออะไร
… ดังนั้นมันคงถึงเวลาที่จะต้องย้ายกองทุนหลากหลายมารวมกันในที่เดียวแล้วสินะ!
เมื่อสับเปลี่ยนกองทุน ไม่ใช่การขาย ชีวิตเลยโดยทำร้ายโดยไม่รู้ตัว
หากใครเป็นเพื่อนหรือติดตามเฟสบุ๊กส่วนตัวของผมคงจะได้เห็น Status ที่เล่าเรื่องการสับเปลี่ยนกองทุนรวม LTF และ RMF ของตัวเองที่ยาวเหยียดพร้อมกับคอมเม้นท์ต่างๆของเพื่อนร่วมชะตากรรมเหมือนๆ กันไปแล้ว แต่ถ้าใครยังไม่เห็นก็สามารถอ่านได้ที่นี่ครับ
Status ที่พูดมานั้นไม่ได้จะก่นด่าแต่ละ บลจ.นะครับ (เห็นไหมว่าไม่ได้เปิดเผยชื่อว่าที่ไหน – -“) แต่อยากจะชี้ประเด็นให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกคนเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมก่อน ที่จะสับเปลี่ยนกองทุน LTF และ RMF โดยการตรวจสอบเรื่องต่อไปนี้ครับ
1. ตรวจสอบนโยบายและวิธีการสับเปลี่ยนกองทุนของแต่ละบลจ.ให้เรียบร้อย โดยสิ่งที่ต้องเตรียมนั้นมีดังนี้ครับ
เอกสาร บางบลจ.ต้องการใบสับเปลี่ยนกองทุนของทางกองทุนต้นทาง (บลจ.เดิม) และกองทุนปลายทาง (บลจ.ใหม่) รวมถึงเอกสารสำเนาบัตรประชาชน ซึ่งเราต้องตรวจสอบให้ดีว่าแต่ละแห่งต้องการอะไรแน่ๆครับ แต่ผมแนะนำให้เตรียมไปให้ครบไว้ล่วงหน้าเลยครับเพราะแม้แต่บลจ.เดียวกันนั้น อาจจะต้องการเอกสารไม่เหมือนกันตามแต่ละสาขา (แป่ววว)
การเจรจากับพนักงาน สิ่งหนึ่งที่เราต้องมีนอก จากเอกสารพร้อมแล้ว คือ ข้อมูลต้องเป๊ะ รู้ว่ากองทุนเรานั้นไปลงทุนอะไร สาเหตุในการสับเปลี่ยน เพราะต้องยอมรับว่าแต่ละบลจ. รวมถึงพนักงานแต่ละสาขาของทางธนาคาร บางสาขาก็ทราบเรื่องดีมาก บางสาขาก็ไม่ทราบเลยว่าต้องทำยังไง บางสาขาก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแล ดังนั้นภาระเลยตกเป็นหน้าที่ของผู้บริโภคระดับเทพอย่างเรา คือ เตรียมข้อมูลทั้งหมดไปให้พร้อมด้วยครับ
ค่าธรรมเนียม ตรวจสอบค่าใช้จ่ายในการสับเปลี่ยนกองทุนที่แตกต่างในกันแต่ละ บลจ. บางทีคิดค่าสับเปลี่ยนเป็นค่าธรรมเนียม บางแห่งคิดเป็น % ของ NAV บางแห่งคิดหมดทุกอย่าง ตังนั้นเตรียมค่าใช้จ่ายต่างๆไปให้พร้อมด้วยครับ อาจจะต้องมีการชำระเงินเพิ่มในบางที่
2. ตรวจสอบความต้องการและเป้าหมายของตัวเองให้ครบถ้วน นอกจากทางฝั่งของบลจ.แล้ว ในตัวเราเองก็ต้องพร้อมเช่นเดียวกันครับ สำรวจตัวเองให้ดีก่อนว่าเป้าหมายในการลงทุนของเรานั้นต้องการอะไร มองให้ลึกลงไปถึงความต้องการจริงๆของตัวเอง เพราะการสับเปลี่ยนในแต่ละครั้งกินเวลานานมาก รวมถึงบางครั้งก็ต้องไปๆกลับๆธนาคารหลายสาขาเพื่อหาสาขาที่ทำรายการให้เรา ได้ ดังนั้นคิดให้ดีครับ #สับกองทุนไม่ใช่สับหมูที่เหนื่อยแล้วจะเก็บเข้าตู้เย็นได้
3. เก็บเอกสารหลักฐานหลังจากสับเปลี่ยนกองทุนไว้ด้วย เนื่อง จากการสับเปลี่ยนไม่ใช่การขาย ดังนั้นเราต้องมีหลักฐานเพื่อใช้ยืนยันเผื่อว่าอาจจะมีปัญหาในการตรวจสอบ เอกสารกับทางสรรพากร โดยทาง บลจ.จะมีการส่งเอกสารใบสับเปลี่ยนกองทุนมาให้กับเราถึงบ้านครับ ซึ่งตรงนี้แนะนำให้เก็บให้ดีและเรียบร้อยด้วยนะครับ
คำแนะนำและแนวทางการแก้ปัญหา
ผมอยากบอกว่ามีเรื่องน่าตลกอยู่นิดหน่อยครับ เพราะปัญหาในการสับเปลี่ยนกองทุน LTF และ RMF จะไม่เกิดขึ้นเลยครับ ถ้าหากการซื้อกองทุนของเรานั้น ไม่ได้ซื้อผ่านกับทาง บลจ.โดยตรง แต่ไปซื้อผ่านตัวแทนนายหน้า (Broker) ต่างๆที่สามารถซื้อขายกองทุนได้หลากหลาย บลจ. เพราะทาง Broker เองจะเป็นผู้จัดการเอกสารให้เราหมดทุกอย่าง เพียงแค่เราแจ้งว่าจะสับเปลี่ยนกองทุน คุณก็จะได้พบกับพี่ Messenger (ไม่ใช่พี่แบงค์เจ้าของเพจสินธรนะครับ) ขับมอไซด์มารับเอกสารของเราถึงที่ แล้วก็รออัพเดทผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์สบายๆได้เลยครับหรือไม่ก็มีวิธีอีกทางหนึ่งคือ เราต้องเป็นคนรักและภักดีกับ บลจ.แห่งใดแห่งหนึ่งเพียงที่เดียว โยกย้ายกองทุนทั้งหมดไปลงทุนใน บลจ.นั้นๆ แม้ว่าผลตอบแทนบางกองอาจจะทำให้เราฝันร้าย แต่ก็เพื่อความสบายใจการสับเปลี่ยนกองทุนที่ง่ายกับชีวิต แถมอาจจะได้รับสิทธิประโยชน์ในกรณีที่เงินลงทุนเยอะๆ หลักหลายล้าน เฮ้อออ อันนี้ก็เลือกเอาตามที่สบายใจนะครับ ผมคงบอกไม่ได้ว่าวิธีไหนดีกว่า