หุ้นตกทำไงดี
ตลาดหุ้นในช่วงนี้ถือว่าผันผวนอย่างรุนแรง หุ้นตกจาก 1,600 จุดลงมาเหลือ
1,300
จุดในช่วงที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยอออกมาอย่างมากเนื่องจากกลัวว่า
ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาหรือเฟดจะลดวงเงินในการซื้อคืนพันธบัตรหรือคิวอี
ลงซึ่งจะทำให้เงินไหลกลับไปยังสหรัฐ
ตลาดหุ้นเกิดใหม่จึงเกิดภาวะตกต่ำกันทั่วโลก
หลังจากนั้นเมื่อผู้ว่าการเฟดออกมาบอกว่ายังไม่เลิกคิวอีในระยะอันสั้นเพราะ
เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ได้ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งทำให้นักลงทุนหวนหลับมาซื้อ
หุ้นตลาดเกิดใหม่อีกครั้ง
ซึ่งส่งผลให้หุ้นไทยเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดขึ้นไปถึง 1,500 จุด
จากนั้นในช่วงเวลาไม่นานตลาดหุ้นไทยกลับปรับตัวลดลงเหลือ 1,200
จุดตามแรงขายของกองทุนในประเทศและต่างชาติ
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ตลาดหุ้นไทยกลับมีแรงซื้อเข้ามามากจนดัชนี
เพิ่มขึ้นไปถึงกว่า 1,400 จุด
ถึงแม้ตลาดหุ้นไทยจะผันผวนเป็นอย่างมาก แต่สำหรับนักลงทุนรายย่อยแล้วส่วนใหญ่จะประสบภาวะขาดทุนในปีนี้เนื่องจากมี จังหวะเข้าซื้อขายหุ้นในช่วงซื้อตอนดัชนีสูงแต่มาขายออกในช่วงดัชนีลดลงต่ำ หรือไม่ก็ยังคงถือหุ้นไว้แต่ราคาปัจจุบันต่ำกว่าต้นทุนที่ซื้อมา บางคนพอร์ตการลงทุนลดลงถึงครึ่งหนึ่งหรือ 50 เปอร์เซนต์เลยทีเดียวโดยเฉพาะการถือหุ้นที่มีราคาสูงและเป็นที่นิยมในช่วง เวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นหุ้นค้าปลีก หุ้นอสังหาริมทรัพย์หรือหุ้นในกลุ่มอื่นๆก็ตาม ในช่วงเวลาเช่นนี้นักลงทุนควรทำอย่างไร ตามหลักการการลงทุนแบบเน้นคุณค่ามีหลักในการปรับพอร์ตเพื่อรับมือกับวิกฤติ อยู่สองสามข้อดังนี้
หนึ่ง ถามตนเองว่าเราซื้อหุ้นนั้นมาด้วยเหตุผลอะไร
หลายคนซื้อหุ้นบริษัทหนึ่งๆเข้าพอร์ตเพียงเพราะมีคนบอกว่าหุ้นนั้นเป็นหุ้น ที่ดี ราคาจะวิ่งไปเท่านั้นเท่านี้ แต่เหมือนคำกล่าวที่ว่า “ค่าที่ปรึกษาที่แพงที่สุดคือค่าคำปรึกษาที่ได้มาฟรีๆ” นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่จะซื้อหุ้นตามๆที่เพื่อนบอกหรือไม่ก็มาร์เกตติ้งแนะ นำ หรือหลายคนซื้อหุ้นเพราะได้ยินข่าวว่าบริษัทนี้จะมีรายได้หรือกำไรเติบโต อย่างมากเนื่องจากมีออเดอร์หรือรายรับเข้ามามากในช่วงเวลานั้นซึ่งในความ เป็นจริงบริษัทอาจทำกำไรได้มากในไตรมาศหนึ่งแต่พอไตรมาศถัดไปกลับมีรายได้ ที่ลดลง ดังนั้นนักลงทุนควรถามว่าเราซื้อหุ้นนั้นด้วยเหตุผลอะไรและเราควรขายหุ้น นั้นด้วยเหตุผลเดียวกัน
สอง ถามตนเองว่าเราเข้าใจหุ้นบริษัทนั้นดีแค่ไหน
นักลงทุนจำนวนมากไม่เข้าใจในธุรกิจที่ลงทุนดีพอ ดังนั้นเมื่อภาวะเศรษฐกิจมีผลกระทบกับบริษัทจึงทำให้ราคาหุ้นลดลงอย่างมาก แต่นักลงทุนยังไม่มั่นใจมากพอถึงเหตุผลที่ทำให้หุ้นราคาลดลง แต่เมื่อสุดท้ายราคาลดลงมากจนทำใจขายไม่ลงเสียแล้วเป็นต้น ถ้านักลงทุนเข้าใจธุรกิจนั้นอย่างดีและมั่นใจว่าธุรกิจยังไปได้จะเป็นโอกาส ดีที่จะซื้อหุ้นพื้นฐานดีในราคาที่ถูกในช่วงตลาดตกต่ำ
สาม ถามตนเองว่าเราตั้งใจถือหุ้นบริษัทนั้นนานแค่ไหน
หลายคนซื้อหุ้นมาเพียงเพื่อรอให้มีราคาสูงกว่าที่ซื้อมาเพื่อขายออกไป ในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมากลยุทธเช่นนี้มักจะได้ผล แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ตลาดหุ้นผันผวนอย่างมากและราคาหุ้นไม่ได้กลับไป ที่จุดสูงสุดเช่นเดิมทำให้นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากขาดทุน บางคนตั้งใจถือหุ้นไว้เพียงหนึ่งหรือสองสัปดาห์แต่ตลาดหุ้นที่ตกต่ำทำให้ ต้องทนถือหุ้นที่ขาดทุนไว้นานกว่าที่คิด การซื้อหุ้นมาเพื่อถือไว้ระยะเวลาสั้นๆนั้นน่าจะเป็นการ”เก็งกำไร”มากกว่า การลงทุน ระยะเวลาในการถือหุ้นเพื่อที่จะผ่านวิกฤติไปได้และมากพอที่จะให้บริษัทแสดง ศักยภาพออกมาน่าจะเป็นเวลาไม่ต่ำกว่าสามปีหรือยิ่งมากกว่ายิ่งดี เพราะจะช่วยลดความผันผวนของราคาในช่วงสั้นๆลงไปได้มาก
ถ้านักลงทุนตอบคำถามทั้งสามข้อนี้และปฏิบัติตามได้ ถึงแม้ตลาดหุ้นจะผันผวนแค่ไหน คงไม่สะทกสะท้านมากนักโดยเฉพาะการถือหุ้นที่พื้นฐานดีและสามารถฝ่าวิกฤติที่ อาจเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
ถึงแม้ตลาดหุ้นไทยจะผันผวนเป็นอย่างมาก แต่สำหรับนักลงทุนรายย่อยแล้วส่วนใหญ่จะประสบภาวะขาดทุนในปีนี้เนื่องจากมี จังหวะเข้าซื้อขายหุ้นในช่วงซื้อตอนดัชนีสูงแต่มาขายออกในช่วงดัชนีลดลงต่ำ หรือไม่ก็ยังคงถือหุ้นไว้แต่ราคาปัจจุบันต่ำกว่าต้นทุนที่ซื้อมา บางคนพอร์ตการลงทุนลดลงถึงครึ่งหนึ่งหรือ 50 เปอร์เซนต์เลยทีเดียวโดยเฉพาะการถือหุ้นที่มีราคาสูงและเป็นที่นิยมในช่วง เวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นหุ้นค้าปลีก หุ้นอสังหาริมทรัพย์หรือหุ้นในกลุ่มอื่นๆก็ตาม ในช่วงเวลาเช่นนี้นักลงทุนควรทำอย่างไร ตามหลักการการลงทุนแบบเน้นคุณค่ามีหลักในการปรับพอร์ตเพื่อรับมือกับวิกฤติ อยู่สองสามข้อดังนี้
หนึ่ง ถามตนเองว่าเราซื้อหุ้นนั้นมาด้วยเหตุผลอะไร
หลายคนซื้อหุ้นบริษัทหนึ่งๆเข้าพอร์ตเพียงเพราะมีคนบอกว่าหุ้นนั้นเป็นหุ้น ที่ดี ราคาจะวิ่งไปเท่านั้นเท่านี้ แต่เหมือนคำกล่าวที่ว่า “ค่าที่ปรึกษาที่แพงที่สุดคือค่าคำปรึกษาที่ได้มาฟรีๆ” นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่จะซื้อหุ้นตามๆที่เพื่อนบอกหรือไม่ก็มาร์เกตติ้งแนะ นำ หรือหลายคนซื้อหุ้นเพราะได้ยินข่าวว่าบริษัทนี้จะมีรายได้หรือกำไรเติบโต อย่างมากเนื่องจากมีออเดอร์หรือรายรับเข้ามามากในช่วงเวลานั้นซึ่งในความ เป็นจริงบริษัทอาจทำกำไรได้มากในไตรมาศหนึ่งแต่พอไตรมาศถัดไปกลับมีรายได้ ที่ลดลง ดังนั้นนักลงทุนควรถามว่าเราซื้อหุ้นนั้นด้วยเหตุผลอะไรและเราควรขายหุ้น นั้นด้วยเหตุผลเดียวกัน
สอง ถามตนเองว่าเราเข้าใจหุ้นบริษัทนั้นดีแค่ไหน
นักลงทุนจำนวนมากไม่เข้าใจในธุรกิจที่ลงทุนดีพอ ดังนั้นเมื่อภาวะเศรษฐกิจมีผลกระทบกับบริษัทจึงทำให้ราคาหุ้นลดลงอย่างมาก แต่นักลงทุนยังไม่มั่นใจมากพอถึงเหตุผลที่ทำให้หุ้นราคาลดลง แต่เมื่อสุดท้ายราคาลดลงมากจนทำใจขายไม่ลงเสียแล้วเป็นต้น ถ้านักลงทุนเข้าใจธุรกิจนั้นอย่างดีและมั่นใจว่าธุรกิจยังไปได้จะเป็นโอกาส ดีที่จะซื้อหุ้นพื้นฐานดีในราคาที่ถูกในช่วงตลาดตกต่ำ
สาม ถามตนเองว่าเราตั้งใจถือหุ้นบริษัทนั้นนานแค่ไหน
หลายคนซื้อหุ้นมาเพียงเพื่อรอให้มีราคาสูงกว่าที่ซื้อมาเพื่อขายออกไป ในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมากลยุทธเช่นนี้มักจะได้ผล แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ตลาดหุ้นผันผวนอย่างมากและราคาหุ้นไม่ได้กลับไป ที่จุดสูงสุดเช่นเดิมทำให้นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากขาดทุน บางคนตั้งใจถือหุ้นไว้เพียงหนึ่งหรือสองสัปดาห์แต่ตลาดหุ้นที่ตกต่ำทำให้ ต้องทนถือหุ้นที่ขาดทุนไว้นานกว่าที่คิด การซื้อหุ้นมาเพื่อถือไว้ระยะเวลาสั้นๆนั้นน่าจะเป็นการ”เก็งกำไร”มากกว่า การลงทุน ระยะเวลาในการถือหุ้นเพื่อที่จะผ่านวิกฤติไปได้และมากพอที่จะให้บริษัทแสดง ศักยภาพออกมาน่าจะเป็นเวลาไม่ต่ำกว่าสามปีหรือยิ่งมากกว่ายิ่งดี เพราะจะช่วยลดความผันผวนของราคาในช่วงสั้นๆลงไปได้มาก
ถ้านักลงทุนตอบคำถามทั้งสามข้อนี้และปฏิบัติตามได้ ถึงแม้ตลาดหุ้นจะผันผวนแค่ไหน คงไม่สะทกสะท้านมากนักโดยเฉพาะการถือหุ้นที่พื้นฐานดีและสามารถฝ่าวิกฤติที่ อาจเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน