ผลกระทบของดอกเบี้ยต่ำ/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

อัตราดอกเบี้ยคงที่ของ พันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปีที่ประกาศมาล่าสุดที่ประมาณ 1.7% ต่อปีนั้นทำให้ผมรู้สึก  “ช็อก”  ยิ่งกว่าอัตราดอกเบี้ยติดลบของธนาคารกลางของหลาย ๆ  ประเทศที่พัฒนาแล้ว  เพราะนี่คืออัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของอัตราดอกเบี้ยที่คนฝากเงินหรือนักลงทุน ไทยจะได้รับในการนำเงินไปลงทุนในเงินฝากหรือตราสารหนี้ในระยะ 10 ปีข้างหน้า  พูดให้ง่าย ๆ  ก็คือ  ถ้าคุณมีเงินสดเหลือและไม่สามารถที่จะนำไปทำธุรกิจหรือลงทุนในอสังหาริม ทรัพย์หรือลงทุนในหุ้น  โอกาสก็คือ  คุณจะต้องไปลงทุนในเงินฝากหรือตราสารหนี้ทั้งระยะยาวและสั้นที่มีความเสี่ยง ต่ำเป็นที่ยอมรับได้    ผลตอบแทนที่จะได้ก็คือประมาณปีละ 2-3% เป็นอย่างมากและมีโอกาสน้อยมากที่อัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า

    การที่ดอกเบี้ยต่ำมากและจะต่ำอยู่นานมากเป็น 10 ปี ขึ้นไปนั้น  ผลกระทบของมันในแง่ของการลงทุนโดยเฉพาะในหุ้นนั้นย่อมมีมหาศาลและมันอาจจะ เปลี่ยน “ข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์”ของการลงทุนไปอย่างมากมาย  ลองมาดูว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากนี้อาจจะทำให้เกิดอะไรขึ้นในตลาดทุนหลัง จากนี้

    ข้อแรกก็คือ  คนจะมีแนวโน้มย้ายเงินมาลงทุนตลาดหุ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ  แม้ว่าหุ้นจะดูมีราคาแพง  ในอดีตที่อัตราดอกเบี้ยยังสูงนั้น  ตลาดหุ้นมักจะมีราคาโดยเฉลี่ยคิดเป็นค่า PE ประมาณ 10 เท่า ซึ่งแปลว่าถ้าเราลงทุนในตลาดหุ้นโดยเฉลี่ยแล้วเราจะได้ผลกำไรต่อปีประมาณ 10% (หาได้โดยการกลับเศษเป็นส่วนของค่า PE เป็น EP) ซึ่งจะดีกว่าการฝากเงินซึ่งอาจจะได้ดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 5% ต่อปี  ส่วนต่างที่ได้ก็คือ 5% ต่อปี ซึ่งนี่ก็คือค่าของความเสี่ยงที่นักลงทุนในหุ้นต้องรับ  แต่เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลงเหลือเพียง 1-2% ต่อปี  ผลตอบแทนจากหุ้นก็ควรที่จะลดลงมาเหลือเพียง 6-7% ต่อปี  ซึ่งถ้าคิดเป็นค่า PE ก็จะเท่ากับค่า PE ที่ประมาณ 15 เท่า  ข้อสรุปก็คือ  นับจากวันนี้  ค่า PE ของตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่เกิน 15-16 เท่าก็ถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่  “ไม่แพง”  พอลงทุนได้  เพราะมันยังให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณปีละ 6-7%  “ดีกว่าการฝากเงินประมาณ 5%”

    ข้อสอง  การที่ดอกเบี้ยต่ำมากเป็นประวัติการณ์และจะต่ำแบบนี้ต่อไปอีกนานนั้น  แปลว่าการลงทุนสร้างโรงงานหรือทรัพย์สินถาวรเพื่อประกอบธุรกิจจะมีหรือเติบ โตน้อยลงไปมากและเป็นอย่างนั้นอีกนาน  ผลที่ตามมาก็คือ  เศรษฐกิจก็น่าจะโตช้าลงและจะคงอยู่อย่างนั้นอีกนาน  ถ้าจะพูดก็คือ  เศรษฐกิจไทยนั้นคงโตได้ประมาณไม่เกิน 3-4% เป็นอย่างมากในระยะเวลาหลายปีข้างหน้า  และถ้าเหตุการณ์เลวร้ายลง  เช่น  เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้าด้วย  เศรษฐกิจไทยก็อาจจะถึงจุด “อิ่มตัว”  และติดกับดัก  “คนชั้นกลาง”  ประเทศไม่สามารถกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้  ซึ่งนี่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นเมื่อคำนึงถึงว่าคนไทยแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วและจะ กลายเป็น  “สังคมคนแก่”  ในอีกประมาณ 10-20 ปี ข้างหน้า

    ข้อสาม  ถ้าเศรษฐกิจไม่โต  ตลาดหุ้นก็ไม่สามารถโตได้  และตลาดหุ้นนั้นก็จะต้องสะท้อนภาวะการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว  ผลก็คือ  การลงทุนในตลาดหุ้นนั้น   น่าจะให้ผลตอบแทนต่อปีที่น้อยลง  ในอดีตย้อนหลังไป 41 ปี ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี  โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นประมาณ 6.6% ต่อปีและเป็นปันผลประมาณ 3.4% ต่อปี  อนาคตผมคิดว่าตลาดหุ้นน่าจะให้ผลตอบแทนน้อยลง  ผมคิดคร่าว ๆ  ว่าผลตอบแทนรวมน่าจะอยู่ที่ประมาณ 6% ต่อปี  โดยที่ราคาหุ้นน่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 3% ในขณะที่ปันผลจะให้ผลตอบแทนปีละประมาณ 3% เช่นเดียวกัน  นั่นแปลว่าการลงทุนนับจากนี้  ปันผลจะถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญมากเท่า ๆ  กับการปรับขึ้นของราคาหุ้นในการพิจารณาเลือกหุ้นลงทุน

    ข้อสี่ อัตราเงินเฟ้อของไทยที่ในอดีตเคยสูงและต่อมาลดลงเรื่อย ๆ  จนเหลือต่ำมากเพียง 1-2% ต่อปี ก็น่าจะมีอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำมากต่อเนื่องไปอีกนานหลาย ๆ  ปี โอกาสที่อัตราเงินเฟ้อจะกลับมาสูงนั้นเป็นไปได้ยาก  นี่ก็คงคล้าย ๆ  กับประเทศที่ค่อนข้างเจริญส่วนใหญ่ในโลกที่เงินเฟ้อน่าจะกลายเป็นเรื่องใน อดีตไปแล้วเนื่องจากการผลิตของโลกมีประสิทธิภาพสูงมากขึ้นและสินค้าสามารถ เคลื่อนย้ายไปค่อนข้างเสรีทั่วโลก  การขาดแคลนสินค้าและวัตถุดิบที่จะทำให้เกิดเงินเฟ้อมีน้อย

    ข้อห้า  ในภาพของธุรกิจหรือบริษัทจดทะเบียนนั้น  บริษัทที่มีหนี้มากที่นักลงทุนเคยเกรงว่าจะมีปัญหาและ Discount หรือให้มูลค่าหุ้นต่ำลงนั้น  การที่ดอกเบี้ยลดลงมากทำให้บริษัทจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้นโดยเฉพาะเมื่อ หนี้ก้อนเดิมถึงกำหนดและบริษัทกู้หนี้ใหม่ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง  ดังนั้น หุ้นของบริษัทเหล่านั้นก็อาจจะมีมูลค่าที่สูงขึ้นได้ในอนาคตมองจากมุม ของดอกเบี้ยที่จะจ่ายน้อยลง

    ข้อหก  การทำ M&A หรือการซื้อกิจการเพื่อการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนน่าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจาก อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงและการที่สถาบันการเงินและตลาดการเงินมีสภาพคล่องสูง  ดังนั้น  บริษัทที่มีความมั่นคงและมีหนี้ไม่มากก็จะมีความสามารถในการกู้เงินระยะยาว ที่จะใช้ซื้อกิจการที่มีกำไรที่แน่นอนพอสมควรโดยที่ราคาซื้อหุ้นอาจจะสูง กว่าปกติได้  เหตุผลก็คือ  บริษัทที่เทคโอเวอร์บริษัทอื่นนั้นอาจจะคิดว่าตนเองสามารถนำกำไรจากบริษัท เป้าหมายมาจ่ายดอกเบี้ยจากการกู้เงินมาซื้อได้โดยที่ตนเองไม่ต้องเพิ่มทุน หรือเพิ่มไม่มาก

    ข้อเจ็ด  บริษัทที่มีการจ่ายปันผลที่ดีกว่าเฉลี่ยของตลาดและมีความมั่นคงของผลประกอบ การและมีกระแสเงินสดที่ดีน่าจะกลายเป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น  นี่อาจจะรวมถึงสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงสูงเช่นกลุ่มธนาคาร พาณิชย์บางแห่งที่จ่ายปันผลถึง 4-5% ต่อปี เหตุผลก็เพราะว่านักลงทุนมั่นใจว่าอย่างน้อยถ้าถือหุ้นเหล่านั้นก็จะได้ปัน ผลที่สูงกว่าเงินฝากปีละ 1-2% มาก  ดังนั้นพวกเขาอาจจะเข้าไปซื้อหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาวและได้ผลตอบแทนดีกว่าการ ฝากเงิน  เพราะต่อให้หุ้นไม่ขึ้นเลยทั้งปีเขาก็ยังได้กำไรมากกว่าการถือเงินสดและฝาก ไว้ในธนาคาร

    ข้อแปด  เช่นเดียวกับหุ้น  กองทุนอสังหาริมทรัพย์และ REIT และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีรายได้ค่อนข้างแน่นอนและให้ผลตอบแทนอยู่ใน หลัก 7-8% ต่อปีก็จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากคนที่ถือเงินสดมากแต่ไม่กล้ารับความเสี่ยงหรือความผันผวนของหุ้นจะ เข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  แม้ว่าผลตอบแทนในกองทุนเหล่านั้นจะค่อย ๆ  ลดลงเพราะราคาหน่วยลงทุนจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

    ที่  “ทำนาย”  แนวโน้มระยะยาวต่าง ๆ  ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นผมก็ไม่รับรองว่าจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันเป็นการพยากรณ์ที่บอกว่าจะเกิด  “New Normal” หรือ “มาตรฐานใหม่”  ซึ่งแตกต่างจากเดิมไปมาก  การทำนายแบบ “สุดโต่ง” แบบนั้นมักจะมีโอกาส “หน้าแตก” ได้ง่าย ๆ  และเราก็ได้เห็นมามากแล้ว  ตัวอย่างเช่นการทำนายก่อนหน้านี้เรื่องปริมาณการผลิตน้ำมันที่จะลดลงมากและ ราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นมากซึ่งภายใน 3-4 ปี ก็ปรากฏว่าทุกอย่างเป็นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง  ดังนั้น  สิ่งที่ผมเขียนในวันนี้จึงอาจจะไม่เกิดขึ้นในอนาคต  ตลาดของอัตราดอกเบี้ยต่ำมากขณะนี้อาจจะ  “ผิด”  เช่น  ภายใน 3-4 ปีข้างหน้าดอกเบี้ยอาจจะเปลี่ยนเป็น  “ขาขึ้น”  อย่างแรง  และคนที่คิดและกำหนดกลยุทธ์การลงทุนโดยเน้นไปที่สมมุติฐานของอัตราดอกเบี้ย ระยะยาวที่ต่ำมากก็อาจจะเจ็บตัวหรือเสียหายหนักก็ได้

    เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นถ้าเราคาดสถานการณ์ผิด  สิ่งที่เราควรทำก็คือ  ทุกครั้งที่จะลงทุนไม่ว่าจะเรื่องอะไร  เราจะต้อง “เผื่อ”  หรือกำหนด Margin of Safety ไว้เสมอนั่นก็คือ  ถ้าเราคาดสถานการณ์ผิด  หุ้นหรือหลักทรัพย์ที่เราลงทุนก็ยังอยู่ได้  อย่างน้อยก็ไม่กลายเป็นหายนะ  และนั่นคือ  “กฎเหล็ก”  ที่ VI ทุกคนจะต้องรักษาไว้ตลอดเวลา

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘