มหาเศรษฐีเจ้าของยูนิโคล ติดร่างแหปานามา เปเปอร์ส
เป็นข่าวครึกโครมมาสักพักกับปานามา เปเปอร์ส
หรือเหตุการณ์การรั่วไหลของข้อมูลด้านการเงินครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติ
ศาสตร์
ข้อมูลเหล่านี้ได้จากเอกสารมากกว่า11ล้านชิ้นของบริษัทที่ปรึกษากฎหมายการ
เงินแห่งหนึ่งในปานามา (เป็นที่มาของชื่อปานามา เปเปอร์ส)
ซึ่งรับหน้าที่ดูแลการจัดตั้งบริษัทในต่างแดนของเหล่าบริษัทข้ามชาติหลาย
แห่งทั่วโลก
แรงสั่นสะเทือนจากการรั่วไหลครั้งนี้เรียกได้ว่าเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว
เพราะปรากฏชื่อนักธุรกิจชั้นนำของโลก รวมไปถึงนักการเมืองระดับประเทศ
นักกีฬาและนักแสดงชื่อดังฯลฯ การมีชื่อปรากฏอยู่บนปานามา เปเปอร์ส
อาจหมายถึงความสุ่มเสี่ยงที่จะมีเอี่ยวธุรกรรมผิดกฎหมาย เช่นการฟอกเงิน
หลบเลี่ยงภาษี การซ่อนทรัพย์ ฯลฯ แน่นอนว่า
ในญี่ปุ่นมีการตีแผ่รายชื่อนักธุรกิจญี่ปุ่นผู้มีชื่อปรากฏอยู่บนปานามา
เปเปอร์สอย่างถึงพริกถึงขิงในแวดวงออนไลน์
และหนึ่งในชื่อที่สะดุดตาสะดุดใจคนทั่วไปมากที่สุด ก็คือทะดะชิ ยะไน
เจ้าของยูนิโคล และผู้ครองบัลลังก์เศรษฐีอันดับ 1 ของญี่ปุ่น
ด้วยทรัพย์สินกว่าหนึ่งหมื่นสี่พันล้านดอลล่าร์ ทำให้ยะไนครองอันดับ 1 ผู้ที่มีทรัพย์สินมากที่สุดในญี่ปุ่นถึงสองปีซ้อน และเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 57 ของโลก แม้ในปี 2015 กำไรของยูนิโคลจะหดหายลงไปถึง7พันล้านเยน แต่นั่นก็ไม่ทำให้อันดับทรัพย์สินของยะไนสะเทือน ด้วยวิสัยทัศน์แนวกล้าได้กล้าเสียและความคิดสร้างสรรค์เต็มเปี่ยม ยะไนถีบตัวขึ้นมาจากการเป็นเจ้าของบริษัทเสื้อผ้าเล็กๆในจ.ยามะกุจิ จนกลายเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของญี่ปุ่นและมีเป้าหมายจะก้าวสู่การเป็นแบรนด์ เสื้อผ้าอันดับหนึ่งของโลกในปี 2020 ด้วยคอนเซปต์การไล่ตามแฟชั่นที่มาเร็วไปเร็วอย่างกระชั้นกระชิด เสื้อผ้าที่ค่อนข้างมีคุณภาพเมื่อเทียบกับราคา และดีไซน์ที่ถูกอกถูกใจตลาดแมส ยูนิโคลจึงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนมีคนกล่าวว่า ในหนึ่งอาทิตย์จะมีร้านยูนิโคลเปิดใหม่ที่ใดที่หนึ่งในโลกเสมอ
เมื่อคราวที่ยูนิโคลตัดสินใจโกอินเตอร์ ได้รีแบรนด์และจัดตั้งบริษัทแม่ชื่อว่า Fast Retailing Co., Ltd. และชื่อของบริษัทนี้นี่เองที่ปรากฏอยู่บนปานามา เปเปอร์ส ร่วมกับบริษัทชั้นนำอื่นๆของญี่ปุ่น เช่น บริษัทผู้ผลิตเกมและของเล่นชื่อบันได มิตซูบิชิสุมิโตโมะ บริษัทออนไลน์ช็อปปิ้งรัคคุเท็ง เป็นต้น การที่ปานามา เปเปอร์ส อาจมีแนวโน้มที่จะเกี่ยวข้องกับการเลี่ยงภาษี ยิ่งประกอบกับข่าวยอดขายยูนิโคลที่ตกต่ำ ยิ่งทำให้แวดวงชาวเน็ตของญี่ปุ่นลุกเป็นไฟ ที่น่าแปลกก็คือ สื่อสำนักใหญ่ๆกลับเลี่ยงที่จะเปิดปมและขุดคุ้ยออกมาเหมือนตั้งใจจะกลบให้ เรื่องเงียบและมีผลกระทบน้อยที่สุด
ใครๆก็อยากได้เงิน ไม่ว่าจะคนรวยคนจน การมีเงินเพิ่มในมือหลายเป็นเรื่องที่ดำรงไว้ซึ่งลมหายใจของเราไปแล้ว ไม่เพียงในระดับคนทั่วไป แต่ในระดับประเทศ รวมทั้งบริษัทข้ามชาติทั้งหลายต่างก็ต้องการการหมุนเวียนของกระแสเงินสดให้ เข้ามาในมือ ใครมีเงินมากโอกาสก็มาก และอำนาจก็มากตามไปด้วย ดังนั้นในประเทศที่ด้อยพัฒนา ไม่มีเจ้าสัวรายใหญ่ที่เป็นผู้ผลิตในวงการอุตสาหกรรม การเมืองไม่มีเสถียรภาพและเต็มไปด้วยนักการเมืองคอร์รัปชั่น รวมถึงประเทศที่มีขนาดเล็ก ไม่มีทรัพยากรมากพอจะเป็นผู้ผลิต จึงดิ้นรนอย่างมากที่จะหาวิธีดูดเม็ดเงินเข้าประเทศ และหนึ่งในวิธีที่ว่าก็คือการออกกฎหมายกำหนดอัตราภาษีที่ต่ำมาก ต่ำกว่าประเทศที่เป็นยักษ์ใหญ่ในวงจรอุตสาหกรรม รวมถึงการละเว้นภาษีเมื่อบริษัทต่างชาติจะมาลงทุน จึงทำให้ประเทศเหล่านั้นกลายเป็นแหล่งลงทุนและเป็นคลังสินค้า รวมไปถึงมีบริการทางการเงินพร้อมสรรพสำหรับผู้ผลิตที่สนใจนำเงินมาลงทุน ประเทศที่มีชื่อเสียงด้านวิธีการเช่นนี้ เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ ปานามา ซาเมา รวมถึงประเทศเล็กๆอย่างบริติช เวอจิ้น ไอส์แลนด์ และเคย์แมน ไอส์แลนด์ ที่ปรากฏว่ามีนักลงทุนและบริษัทไทยหลายรายเอาเงินไปทำธุรกรรมติดอันดับต้นๆ
ในหลายกรณี การที่อัตราภาษีนั้นต่ำกว่าในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศของผู้ผลิต จึงทำให้มีการจัดตั้งบริษัทสาขาย่อยในประเทศนั้นๆ เพราะมีผลประโยชน์แอบแฝง นั่นก็คือ การโยกย้ายบัญชีรายได้ และคิดภาษีโดยบวกรวมบริษัทแม่ไปด้วย และกลายเป็นว่าสามารถเสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าประเทศที่บริษัทแม่ตั้งอยู่ เป็นต้นว่า หากตั้งบริษัทลูกในสิงคโปร์ จะเสียภาษีนิติบุคคลเพียง 17% เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าอัตราภาษีนิติบุคคลพื้นฐานในญี่ปุ่นคือ 20% จึงมีการโยกรวมบัญชีของบริษัทแม่กับบริษัทสาขาย่อยไว้ด้วยกันเพื่อจะเสีย ภาษีเพียง 17% เป็นต้น เรียกว่าวิน-วิน กันทั้งฝ่ายที่รับเงินลงทุน และฝ่ายผู้ผลิตที่เสียภาษีน้อยลง ได้กำไรเพิ่มขึ้น วงการสื่อจึงเรียกประเทศที่หารายได้ด้วยวิธีนี้ว่า Tax Havens หรือสถานหลบเลี่ยงภาษี นั่นเอง
แน่นอนว่าธุรกรรมเช่นนี้หมิ่นเหม่กฎหมายเหลือเกิน แต่ส่วนมากแล้วมักมีการศึกษากฎหมายการเงินเป็นอย่างดี เพื่อระแวดระวังว่าธุรกรรมแบบไหน “ล้ำเส้น” จนกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย อาจกล่าวได้ว่าการลงทุนหรือจัดตั้งบริษัทลูกในประเทศเหล่านี้เป็นเรื่อง “เทาๆ” นั่นคือไม่ผิดกฎหมายแต่อาจผิดจริยธรรม เสี่ยงต่อแนวโน้มที่จะเกิดการฟอกเงิน การคอร์รัปชั่น การเลี่ยงภาษี และการซุกซ่อนทรัพย์เพื่อนำมาค้าขายอาวุธและซ่องสุมกองกำลังก่อการร้าย ญี่ปุ่นในฐานะประเทศที่เจริญด้วยอุตสาหกรรม และเป็นผู้ผลิตอันดับต้นๆของโลก จึงได้รับผลกระทบเต็มๆเพราะสูญเสียภาษีที่ควรเก็บได้จากบริษัทต่างๆไป มากกว่า54ล้านล้านเยน (ในปี2014) อาจกล่าวได้ว่า ความสำคัญของปานามา เปเปอร์สก็คือ การโต้กลับของประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ (ในที่นี้คือเยอรมนี) ด้วยการเปิดโปงและเรียกร้องให้สังคมได้เห็นว่า เศรษฐีรายใหญ่ของโลกหลายรายนั้นก็ไม่ต่างกับโจร จึงรวยเอาๆจนเกิดช่องว่างทางสังคม
ที่มา forbes telegraph golden-tamatama hochi
เปิดปมยูนิโคล
ด้วยทรัพย์สินกว่าหนึ่งหมื่นสี่พันล้านดอลล่าร์ ทำให้ยะไนครองอันดับ 1 ผู้ที่มีทรัพย์สินมากที่สุดในญี่ปุ่นถึงสองปีซ้อน และเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 57 ของโลก แม้ในปี 2015 กำไรของยูนิโคลจะหดหายลงไปถึง7พันล้านเยน แต่นั่นก็ไม่ทำให้อันดับทรัพย์สินของยะไนสะเทือน ด้วยวิสัยทัศน์แนวกล้าได้กล้าเสียและความคิดสร้างสรรค์เต็มเปี่ยม ยะไนถีบตัวขึ้นมาจากการเป็นเจ้าของบริษัทเสื้อผ้าเล็กๆในจ.ยามะกุจิ จนกลายเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของญี่ปุ่นและมีเป้าหมายจะก้าวสู่การเป็นแบรนด์ เสื้อผ้าอันดับหนึ่งของโลกในปี 2020 ด้วยคอนเซปต์การไล่ตามแฟชั่นที่มาเร็วไปเร็วอย่างกระชั้นกระชิด เสื้อผ้าที่ค่อนข้างมีคุณภาพเมื่อเทียบกับราคา และดีไซน์ที่ถูกอกถูกใจตลาดแมส ยูนิโคลจึงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนมีคนกล่าวว่า ในหนึ่งอาทิตย์จะมีร้านยูนิโคลเปิดใหม่ที่ใดที่หนึ่งในโลกเสมอ
เมื่อคราวที่ยูนิโคลตัดสินใจโกอินเตอร์ ได้รีแบรนด์และจัดตั้งบริษัทแม่ชื่อว่า Fast Retailing Co., Ltd. และชื่อของบริษัทนี้นี่เองที่ปรากฏอยู่บนปานามา เปเปอร์ส ร่วมกับบริษัทชั้นนำอื่นๆของญี่ปุ่น เช่น บริษัทผู้ผลิตเกมและของเล่นชื่อบันได มิตซูบิชิสุมิโตโมะ บริษัทออนไลน์ช็อปปิ้งรัคคุเท็ง เป็นต้น การที่ปานามา เปเปอร์ส อาจมีแนวโน้มที่จะเกี่ยวข้องกับการเลี่ยงภาษี ยิ่งประกอบกับข่าวยอดขายยูนิโคลที่ตกต่ำ ยิ่งทำให้แวดวงชาวเน็ตของญี่ปุ่นลุกเป็นไฟ ที่น่าแปลกก็คือ สื่อสำนักใหญ่ๆกลับเลี่ยงที่จะเปิดปมและขุดคุ้ยออกมาเหมือนตั้งใจจะกลบให้ เรื่องเงียบและมีผลกระทบน้อยที่สุด
ทำไมปานามา เปเปอร์สถึงสำคัญ?
ใครๆก็อยากได้เงิน ไม่ว่าจะคนรวยคนจน การมีเงินเพิ่มในมือหลายเป็นเรื่องที่ดำรงไว้ซึ่งลมหายใจของเราไปแล้ว ไม่เพียงในระดับคนทั่วไป แต่ในระดับประเทศ รวมทั้งบริษัทข้ามชาติทั้งหลายต่างก็ต้องการการหมุนเวียนของกระแสเงินสดให้ เข้ามาในมือ ใครมีเงินมากโอกาสก็มาก และอำนาจก็มากตามไปด้วย ดังนั้นในประเทศที่ด้อยพัฒนา ไม่มีเจ้าสัวรายใหญ่ที่เป็นผู้ผลิตในวงการอุตสาหกรรม การเมืองไม่มีเสถียรภาพและเต็มไปด้วยนักการเมืองคอร์รัปชั่น รวมถึงประเทศที่มีขนาดเล็ก ไม่มีทรัพยากรมากพอจะเป็นผู้ผลิต จึงดิ้นรนอย่างมากที่จะหาวิธีดูดเม็ดเงินเข้าประเทศ และหนึ่งในวิธีที่ว่าก็คือการออกกฎหมายกำหนดอัตราภาษีที่ต่ำมาก ต่ำกว่าประเทศที่เป็นยักษ์ใหญ่ในวงจรอุตสาหกรรม รวมถึงการละเว้นภาษีเมื่อบริษัทต่างชาติจะมาลงทุน จึงทำให้ประเทศเหล่านั้นกลายเป็นแหล่งลงทุนและเป็นคลังสินค้า รวมไปถึงมีบริการทางการเงินพร้อมสรรพสำหรับผู้ผลิตที่สนใจนำเงินมาลงทุน ประเทศที่มีชื่อเสียงด้านวิธีการเช่นนี้ เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ ปานามา ซาเมา รวมถึงประเทศเล็กๆอย่างบริติช เวอจิ้น ไอส์แลนด์ และเคย์แมน ไอส์แลนด์ ที่ปรากฏว่ามีนักลงทุนและบริษัทไทยหลายรายเอาเงินไปทำธุรกรรมติดอันดับต้นๆ
ในหลายกรณี การที่อัตราภาษีนั้นต่ำกว่าในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศของผู้ผลิต จึงทำให้มีการจัดตั้งบริษัทสาขาย่อยในประเทศนั้นๆ เพราะมีผลประโยชน์แอบแฝง นั่นก็คือ การโยกย้ายบัญชีรายได้ และคิดภาษีโดยบวกรวมบริษัทแม่ไปด้วย และกลายเป็นว่าสามารถเสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าประเทศที่บริษัทแม่ตั้งอยู่ เป็นต้นว่า หากตั้งบริษัทลูกในสิงคโปร์ จะเสียภาษีนิติบุคคลเพียง 17% เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าอัตราภาษีนิติบุคคลพื้นฐานในญี่ปุ่นคือ 20% จึงมีการโยกรวมบัญชีของบริษัทแม่กับบริษัทสาขาย่อยไว้ด้วยกันเพื่อจะเสีย ภาษีเพียง 17% เป็นต้น เรียกว่าวิน-วิน กันทั้งฝ่ายที่รับเงินลงทุน และฝ่ายผู้ผลิตที่เสียภาษีน้อยลง ได้กำไรเพิ่มขึ้น วงการสื่อจึงเรียกประเทศที่หารายได้ด้วยวิธีนี้ว่า Tax Havens หรือสถานหลบเลี่ยงภาษี นั่นเอง
แน่นอนว่าธุรกรรมเช่นนี้หมิ่นเหม่กฎหมายเหลือเกิน แต่ส่วนมากแล้วมักมีการศึกษากฎหมายการเงินเป็นอย่างดี เพื่อระแวดระวังว่าธุรกรรมแบบไหน “ล้ำเส้น” จนกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย อาจกล่าวได้ว่าการลงทุนหรือจัดตั้งบริษัทลูกในประเทศเหล่านี้เป็นเรื่อง “เทาๆ” นั่นคือไม่ผิดกฎหมายแต่อาจผิดจริยธรรม เสี่ยงต่อแนวโน้มที่จะเกิดการฟอกเงิน การคอร์รัปชั่น การเลี่ยงภาษี และการซุกซ่อนทรัพย์เพื่อนำมาค้าขายอาวุธและซ่องสุมกองกำลังก่อการร้าย ญี่ปุ่นในฐานะประเทศที่เจริญด้วยอุตสาหกรรม และเป็นผู้ผลิตอันดับต้นๆของโลก จึงได้รับผลกระทบเต็มๆเพราะสูญเสียภาษีที่ควรเก็บได้จากบริษัทต่างๆไป มากกว่า54ล้านล้านเยน (ในปี2014) อาจกล่าวได้ว่า ความสำคัญของปานามา เปเปอร์สก็คือ การโต้กลับของประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ (ในที่นี้คือเยอรมนี) ด้วยการเปิดโปงและเรียกร้องให้สังคมได้เห็นว่า เศรษฐีรายใหญ่ของโลกหลายรายนั้นก็ไม่ต่างกับโจร จึงรวยเอาๆจนเกิดช่องว่างทางสังคม
บทสรุปที่ไร้ซึ่งบทสรุป
เนื่องจากไม่มีสำนักข่าวไหนลงมาลุยเรื่องของความเกี่ยวข้องระหว่างยะไน และปานามา เปเปอร์ส จึงยังไม่สามารถระบุได้ว่ามีการเลี่ยงภาษีหรือทุจริตทางธุรกรรมหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ชื่อของยะไนบนปานามา เปเปอร์ส รวมถึงชื่อนักธุรกิจรายใหญ่อื่นๆ สร้างความไม่พอใจที่ขยายวงลุกลามเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะความจริงที่ว่า อีกไม่นานรัฐบาลญี่ปุ่นจะประกาศเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากเดิม 8% เป็น 10% และมีแนวโน้มว่าจะขึ้นภาษีเงินได้ส่วนบุคคล จึงสรุปได้ว่าในขณะที่คนทั่วไปถูกสูบภาษีมากขึ้นๆ และถูกเก็บอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่มหาเศรษฐีทั้งหลายในญี่ปุ่นต่างพากันหาวิธีหลบเลี่ยงภาษีและเป็นเหตุให้ ประเทศขาดรายได้ที่จะนำมาพัฒนาสวัสดิการต่างๆของคนในสังคม มากกว่าความชอบธรรมทางกฎหมาย แต่นี่คืออีกวิกฤติทางจริยธรรมในยุคสมัยแห่งการดิ้นรนเอาตัวรอดของนายทุนที่มา forbes telegraph golden-tamatama hochi