6 สาวกพระพุทธเจ้า..ผู้ได้รับอานิสงส์การสร้างเจดีย์ ด้วยทองคำ ในสมัยพุทธกาล



อานิสงส์การสร้างเจดีย์ ด้วยทองคำในสมัยพุทธกาล
           1. ในเรื่องราวของ พระมหากัจจายนะ ด้วยอานิสงส์ท่านที่ได้ถวายแผ่นอิฐทองคำ เพื่อทำเป็นฐานพระเจดีย์สำหรับประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุในสมัยพระกัส สปสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยผลบุญนี้ส่งผลให้ท่านมีผิวพรรณวรรณะละเอียดผุดผ่องดังทองคำ
ภาพ การถวายแผ่นอิฐทองคำเพื่อทำเป็นฐานพระเจดีย์
          นอกจากนั้นพระมหากัจจายนะยังได้ถวายอาสนะแก้วผลึกที่ฉาบทาด้วยทองชมพูนุทอัน บริสุทธิ์ เพื่อทำเป็นที่ประทับของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตร ส่งผลให้ในภพชาตินั้นท่านได้ไปเกิดเป็นเทวดาผู้ มีศักดิ์ใหญ่ มีรัศมีแผ่ไปโดยรอบไกลถึง 100 โยชน์ เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีฤทธิ์มาก มีรัตนะ 8 ประการ  เวียนว่ายตายเกิดอยู่แต่ในสุคติภูมิเป็นเวลาที่ยาวนาน ในชาติสุดท้ายได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ด้วยผลแห่งการสร้างพระเจดีย์นั้นเอง

2. หรือดังเรื่องราวของ ชฎิลเศรษฐี ที่ได้ทำหม้อดอกไม้ทองคำ 3 ใบ ไปบรรจุไว้ในเจดีย์ทองคำที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อกราบขอขมาและระลึกถึงคุณของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยบุญนั้นเองส่งผลให้ชฎิลเศรษฐี เป็น 1 ใน 5 ของเศรษฐีที่รวยที่สุดในสมัยพุทธกาล มีภูเขาทองคำสูง 80 ศอกเกิดขึ้นหลังบ้าน และมีดวงปัญญามาก เห็นภัยในวัฏฏสงสารจึงออกบวช เมื่อบวชได้เพียง 2-3 วันเท่านั้นก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยคุณวิเศษทั้งหลาย ด้วยอานิสงส์ของการสร้างพระเจดีย์ในครั้งก่อน
 อานิสงส์การทำบุญด้วยทองคำของชฏิลเศรษฐี ทำให้มีภูเขาทองเกิดขึ้นหลังบ้าน 

          3. เรื่องราวของ พระเอกุทานิยเถระ ในสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า อัตถทัสสี ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ท่านได้บังเกิดเป็นยักษ์ได้ฟังพุทธวจนะจากพระสาคระซึ่งเป็นอัครสาวกของพระ อัตถทัสสีพุทธเจ้า ว่า "ผู้ใดบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   แม้ยังดำรงพระชนม์อยู่ หรือว่าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วก็ตาม ถ้าหากว่าได้บูชา
พระพุทธเจ้าด้วย จิตอันเลื่อมใส ผลแห่งบุญนั้นก็มีค่าเสมอกัน" ยักษ์ตนนั้นจึงได้ทำการสร้างพระเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ด้วยผลบุญนั้นเองสิ้นจากอัตตภาพของยักษ์แล้ว ท่านได้เวียนวนเสวยทิพยสมบัติมากมายในเทวโลก เสวยความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีอานุภาพมาก ในชาติสุดท้ายได้ออกบวช ได้มีโอกาสฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา มีจิตเลื่อมใส   ได้บำเพ็ญสมณธรรมจนได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ด้วยผลแห่งการสร้างพระเจดีย์นั้นเอง   

  4.  เรื่องราวของ นางเสสวดี ที่ได้ที่ปลด เครื่องประดับทองคำจากคอให้ช่างทองนำไปทำอิฐทองคำเพื่อร่วมสร้างเจดีย์ทองคำ สูง 1 โยชน์ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสป ส่งผลให้นางเสสวดี ละโลกแล้วไปเกิดในสวรรค์ยาวนานถึง 1 กัป มีวิมานทองที่สว่างไสวใหญ่โตวิจิตรตระการตายิ่งนัก

สาวกผู้เลิศ ผู้สร้างเจดีย์ถวายพระพุทธเจ้า
พระมหากัสสปและพระนางภัททกาปิลานีอรหันตเถรี
          จะเห็นได้ว่าอานิสงส์ที่ได้ร่วมสร้างพระเจดีย์แม้เพียงอิฐก้อนเดียว อานิสงส์นั้นยิ่งใหญ่ไพศาลนัก อานิสงส์การสร้างพระเจดีย์และการบูชาพระ เจดีย์ นั้นสามารถตัดรอนวิบากกรรมจากหนักเป็นเบาได้ ดังเรื่องราวของคู่สร้างบารมี ของ พระมหากัสสปะ และพระเถรีชื่อว่า ภัททกาปิลานี เรื่องราวก็มีอยู่ว่า
          ในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ทั้งสองท่านนี้ได้บังเกิด เป็นเศรษฐีและเป็นสามีภรรยากัน ทั้งสองได้ตั้งใจสั่งสมบุญกับพระพุทธเจ้าเป็นประจำ ฝ่ายสามีตั้งความปรารถนาที่จะได้ตำแหน่งสาวกผู้เป็นเลิศในทางถือธุดงควัตร ฝ่ายภรรยาตั้งความปรารถนาที่จะได้ตำแห่งสาวกผู้เป็นเลิศทางด้านการละลึกชาติ เมื่อพระปทุมุตตรพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วทั้งสองสามีภรรยาก็ได้เชิญชวนญาติพี่ น้องสร้างพระเจดีย์ด้วยรัตนะสูง 7 โยชน์ เมื่อสร้างเสร็จก็ได้ทำการประดับประดาตกแต่งบูชาพระเจดีย์อย่าง วิจิตรอลังการ เพื่อที่จะบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งสามีและภรรยาได้ทำการบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และถวายทานแด่พระสงฆ์ตลอดชีวิต เมื่อละโลกแล้ว นางได้ไปเกิดในสวรรค์ มีทิพยสมบัติอันอลังการ เวียนว่ายตายเกิดอยู่แต่ในสุคติภูมิ
         ในชาติต่อมา ก็ได้มาบังเกิดเป็นสามีภรรยากันอีก เกิดในตระกูลที่มั่งคั่งมีทรัพย์มาก วันหนึ่งฝ่ายภรรยาและน้องสาวสามีเกิดทะเลาะกระทบกระทั่งกัน  ในวันนั้นเองน้องสาวของสามีได้นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้ามาเพื่อถวายบิณฑบาต ด้วยความโกรธแค้นในน้องสาวของสามี ทำให้นางจึงคิดว่า “พระปัจเจกพุทธเจ้าจงอย่าฉันภัตตาหารที่หญิงคนนี้ถวายเลย” นางจึงรับบาตรมาแล้วเทภัตตาหารทิ้ง แล้วเอาโคลนใส่จนเต็มถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า
          ฝ่ายน้องสาวของสามีเห็นเช่นนั้นจึงพูดว่า “นางคนพาล เจ้าจะด่าหรือทุบตีเราก็ได้ แต่ไม่ควรทิ้งภัตตาหารจากบาตรของพระผู้บำเพ็ญบารมีมาตลอด 2 อสงไขย แล้วใส่โคลนแทน” เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางจึงกลับได้สติ รีบรับบาตรมาล้างทำความสะอาด ขัดถูด้วยผงเครื่องหอม นำของมีรสอร่อย 4 อย่างใส่จนเต็มบาตร แล้วราดด้วยเนยใส ถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าอนุโมทนาแล้วเหาะไปบนอากาศ
          ด้วยอานิสงส์ที่ได้ถวายภัตตาหารแด่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเอง ทำให้นางมีรูปงามทุกภพทุกชาติ แต่มีกลิ่นตัวเหม็นเพราะกระทำกรรมหนัก คือ ถวายโคลนแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยความโกรธ
          มาถึงในสมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งสองได้จุติจากสวรรค์มาเกิดในกรุงพาราณสี ด้วยบุญที่เคยสร้างมาทำให้ทั้งสองได้มาบังเกิดในตระกูลของเศรษฐี ฝ่ายภรรยาเป็นธิดามีรูปงามมาก แต่ด้วยผลกรรมที่เอาโคลนใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า นางจึงมีร่างกายที่มีกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง เป็นที่รังเกียจของมหาชน 

ต่อมา ทั้งฝ่ายเศรษฐีพ่อของสามีได้ส่งคนมาสู่ขอนาง เมื่อนางไปถึงบ้านเศรษฐีเท่านั้น ทั้งบ้านก็มีกลิ่นเหม็นเหมือนเปิดส้วมไว้ ทำให้ลูกชายของเศรษฐีเกิดความรังเกียจถูกส่งตัวกลับหลายครั้ง นางเกิดความทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง แต่บุญที่เคยสั่งสมไว้ในพระพุทธศาสนาก็ได้ช่อง ต่อมาเมื่อพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน มหาชนพร้อมใจกันก่อสร้างเจดีย์สูง 1 โยชน์ โดยใช้ทองคำแท่งแทนอิฐ ฝ่ายภรรยาจึงให้วิกฤตให้เป็นโอกาสนำเครื่องประดับทองคำจำนวนมากไปให้ช่าง หลอมทำอิฐทองคำร่วมสร้างเจดีย์ และนางก็ตั้งความปรารถนาว่า “ด้วยบุญกุศลนี้ ขอให้ข้าพเจ้ามีกลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากตัว กลิ่นดอกบัวฟุ้งออกจากปาก”
          น่าอัศจรรย์ยิ่งนักบุญมีอานุภาพอันไม่มีประมาณเกิดขึ้นทันตาเห็น บุญไปตัดรอนวิบากกรรมหนักที่นางเคยทำมาในอดีตชาติ ทำให้กลิ่นเหม็นเหมือนส้วมที่ติดตัวมาตลอดหายสูญไปทันที และยังบันดาลให้นางมีกลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากร่างกายและกลิ่นดอกบัวฟุ้งออกจาก ปาก
          เมื่อนางไปถึงบ้านลูกชายเศรษฐี ทันทีที่นางเข้าบ้าน แทนที่จะเป็นกลิ่นส้วม คราวนี้เป็นกลิ่นจันทน์และกลิ่นดอกบัวก็ฟุ้งกระจายไปทั่วบ้าน ลูกชายเศรษฐีจึงสอบถามเหตุที่เกิดจึ้น นางจึงเล่าให้ฟังว่า นางถวายแผ่นอิฐทองคำสร้างเจดีย์ถวายเป็นพุทธบูชา และผลบุญนี้เองได้ตัดรอนวิบากกรรมเหล่านั้นจนหมดสิ้น ฝ่ายลูกชายเศรษฐีเป็นผู้มีปัญญามาก ทราบดังนั้นจึงร่วมสร้างเจดีย์ด้วยทองคำเช่นกัน
          ในชาติสุดท้าย ทั้งคู่มาบังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ฝ่ายหญิงมีชื่อว่า "ภัททกาปิลานี" ฝ่ายชาย ชื่อ "ปิบผลิ" เมื่อทั้งคู่เจริญวัยได้ถูกพ่อแม่จับเข้าพิธีแต่งงานกัน   เนื่องจากทั้งสองไม่ฝักใฝ่ในกามคุณ จึงเป็นสามีภรรยากันแต่เพียงในนาม มิได้มีความกำหนัดยินดีในกามใดๆเลย     

           เมื่อบิดามารดาของทั้งสองสิ้นชีวิตลง ทั้งสองก็ได้ออกบวชโดยอธิษฐานว่า “พระอรหันต์เหล่าใดมีอยู่ในโลก เราจักบวชเพื่ออุทิศแด่พระอรหันต์เหล่านั้น”  จากนั้น ปิบผลิ ฝ่ายสามีก็ได้ไปพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในวันที่ 8 ท่านได้บรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ และต่อมาก็ได้รับการยกย่องจากพระศาสดาว่าเป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายทาง ด้าน "ถือธุดงค์เป็นวัตร"
           ส่วนนางภัททกาได้ขอบวชเป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนาแล้ว ต่อมาก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ 4 วิชชา 3 วิโมกข์ 8 และอภิญญา 6 และยังมีความสามารถในการระลึกชาติ จนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยกย่องพระนางไว้ในตำแหน่งเป็นเลิศกว่า ภิกษุณีทั้งหลาย ในด้าน "ผู้มีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ"
          ท่านสาธุชนทั้ง หลาย...ความถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ความสมปรารถนา ความสุข ความสำเร็จทั้งหมด จนกระทั่งถึงการได้บรรลุมรรคผลนิพพานนี้ ทั้งหมดก็ด้วยผลแห่งบุญที่ได้สั่งสมไว้ดีแล้วในพระพุทธศาสนามาหลายภพหลาย ชาติ โดยเฉพาะบุญที่ใหญ่และแรงกว่าบุญอื่นๆ นั่นก็คือ บุญสร้างพระเจดีย์ สมดั่งพุทธพจน์ที่ว่า
                                         "ผู้ใดบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ยังดำรงพระชนม์อยู่ 
                                                   หรือว่าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วก็ตาม 
                                              ถ้าหากว่าได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยจิตอันเลื่อมใส
                                                              ผลแห่งบุญนั้นก็มีค่าเสมอกัน"

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘