ลิขิตพระสังฆราช โดยทนายพระ ตอนที่6
วันนี้ผมขอแสดงความเห็นเรื่องลิขิตพระสังฆราชในแง่
มุมของทนายพระ
ให้ญาติโยมและพระคุณเจ้าที่ติดตามในเรื่องนี้เพื่อท่านจะได้สิ้นความสงสัย
ต่อการที่มหาเถรสมาคมได้พิจารณาและมีมติไปแล้ว กล่าวคือ
ประเด็นแรก สมเด็จพระสังฆราชมีอำนาจในการปกครองคณะสงฆ์มากน้อยเพียงใด
๑) สมเด็จพระสังฆราชทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปรินายก ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ และทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชโดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัยและกฎมหาเถรสมาคม ( มาตรา ๘ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ )
คณะสงฆ์เปรียบได้กับรัฐหนึ่งในราชอาณาจักรไทย แม้จะเป็นรัฐที่สามารถปกครองกันเองได้ แต่ก็อยู่ภายใต้กฎหมายไทย ประมุขของรัฐคือสมเด็จพระสังฆราช เทียบได้กับตำแหน่งประธานาธิบดี โดยพระมหากษัตริย์ทรงสถาปนา เป็นผู้บัญชาการคณะสงฆ์ สามารถออกคำสั่งให้คณะสงฆ์ปฎิบัติได้ เทียบได้กับคำสั่งนายกรัฐมนตรี สามารถบังคับและเอาผิดกับพระภิกษุที่อยู่ภายใต้การปกครอง ซึ่งเป็นไปตามพระธรรมวินัยและกฎมหาเถรสมาคม แต่คำสั่งหรือพระบัญชานั้นต้องไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายของราชอาณาจักรไทย และข้อสำคัญคือพระธรรมวินัยและกฎมหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นกฎหมายที่พระภิกษุต้องปฎิบัติด้วยความเคร่งครัด แม้สมเด็จพระสังฆราชจะมีอำนาจดังกล่าวข้างต้น แต่มิได้หมายความว่าพระองค์จะสามารถสั่งหรือมีพระบัญชาได้ตามอำเภอใจ
ทีนี้มาดูซิว่า กระดาษที่พิมพ์ข้อความ ๖ บรรทัด ที่สมเด็จพระสังฆราชถือเข้าไปในที่ประชุมมหาเถรสมาคมเมิ่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๒ นั้น มีความหมายว่าอะไร ข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์ว่า กระดาษที่มีข้อความแล้วพระองค์ได้ยื่นส่งให้สมเด็จพุฒาจารย์ ( วัดสระเกศ ) อ่านนั้น เป็นพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชจริง แม้จะไม่มีหัวกระดาษและลายพระหัตถ์ของพระองค์ก็ตาม ถามว่าลิขิตฉบับนั้นเป็นพระบัญชาหรือไม่ ผมมีความเห็นว่าไม่ใช่พระบัญชา เพราะมิได้มีลักษณะเป็นคำสั่งเป็นเพียงความเห็นดำริของพระองค์เท่านั้น และผมมีความเห็นว่า ลิขิตฉบับนั้นเป็นฉบับจริงโดยไม่ต้องสงสัย
๒.) การปกครองคณะสงฆ์
คณะสงฆ์ไทยมีอยู่ ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายมหานิกาย กับฝ่ายธรรมยุตนิกาย ทั้งสองฝ่ายแยกการปกครองแต่ละฝ่าย กล่าวคือวัดที่สังกัดมหานิกายก็จะมีคณะปกครองเฉพาะฝ่ายมหานิกาย ส่วนวัดที่สังกัดธรรมยุตนิกายก็จะมีคณะปกครองเฉพาะฝ่ายธรรมยุตนิกาย ทั้งสองฝ่ายแยกกันเป็นอิสระไม่ก้าวก่ายกัน แต่ในการปกครองคณะสงฆ์นั้นมี มหาเถรสมาคมเป็นองค์กรปกครองสูงสุด โดยมีประมุของค์เดียวกันคือ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
คณะสงฆ์ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของมหาเถรสมาคม ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ ที่สำคัญ คือ ปกครองคณะสงฆ์ กำหนดการบรรพชาสามเณร ควบคุมและส่งเสริมการศึกษาฯ ของคณะสงฆ์ รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา ปฎิบัติหน้าที่อื่นๆตามกฎหมาย ( ตามมาตรา ๑๕ ตรี พ.ร.บ. คณะสงฆ์ )
มหาเถรสมาคมประกอบด้วย สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่ง สมเด็จพระราชาคณะทุกรูปเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และพระราชาคณะซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งจำนวนหนึ่ง เทียบกับทางฝ่ายอาณาจักรก็คือ คณะรัฐมนตรี เป็นรัฐบาลผสม ซึ่งจะเห็นได้ว่าท่านจะไม่ค่อยจะก้าวก่ายหน้าที่ทางปกครอง แต่ในเรื่องพระธรรมวินัยแล้วไม่มีการเพิกเฉยหรือละเลยหน้าที่ความรับผิดชอบ
สรุปแล้วในกรณีที่มีปัญหาในการปกครองคณะสงฆ์นั้น เมื่อกระบวนการพิจารณาเป็นไปตามขั้นตอนหลักการโดยมหาเถรสมาคมได้พิจารณาโดย รอบคอบและสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว เรื่องจะสิ้นสุดโดยไม่มีการอุทธรณ์และจะไม่สามารถรื้อฟื้นมาพิจารณาใหม่ได้ กรณีวัดพระธรรมกายนั้นมหาเถรสมาคมท่านถือว่าเรื่องต่างๆที่เป็นที่วิพากษ์ วิจารณ์นั้นเอวังด้วยประการฉะนี้แล แต่อาจารย์แสวงท่านบอกผมว่า เป็นเพียงยกแรกเท่านั้นคุณทนายคอยดูก็แล้วกัน ทิฐิพระนั้นอย่าให้ผมพูดเลย สมัยหลวงพ่ออาจ พระพิมลธรรม วัดมหาธาตุ ผมเคยเจอมาแล้ว และแล้วก็เป็นไปตามที่ท่านคาดการไว้ไม่มีผิด หนักหน่วงรุนแรงและต้องแก้ด้วยการเมือง ตอนนั้นผมคิดไม่ออกแต่ตอนนี้จึงถึงบางอ้อ
ประเด็นที่ ๒ ลิขิตพระสังฆราชเป็นของจริงหรือทำปลอม
ฉบับแรกผมฟันธงไปแล้วว่าเป็นของจริง ไม่ต้องอธิบายอีก ส่วนอีก ๕ ฉบับมีการโต้แย้งกันมาก มีการวิพากษ์วิจารณ์เป็น ๒ แนว คือ เป็นพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชจริง โดยพระองค์อาจดำรัสให้พระเลขาเป็นผู้ดำเนินการ เมิ่อเป็นพระลิขิตจริงก็จะมีผู้ให้ความเห็นว่า มหาเถรสมาคมต้องปฎิบัติตามพระบัญชา พระธมฺมชโยต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระโดยอัตโนมัติ ไม่ได้เป็นพระแล้ว อีกฝ่ายก็ว่าเป็นพระลิขิตปลอม มีบางกลุ่มร่วมกันทำขึ้นมาหวังจะบีบบังคับให้มหาเถรสมาคมจับพระธมฺมชโยสึก เหตุการณ์ในช่วงนั้นสื่อมวลชนพุ่งเป้าไปที่มหาเถรสมาคมให้จัดการตามกระแสของ สังคมที่ชี้นำ แต่มหาเถรสมาคมท่านก็นิ่งเฉย จนกระทั่งนายพิภพ กาญจนะ เลขาธิการมหาเถรสมานำเอาลิขิตรวม ๕ ฉบับ เข้าที่ประชุมมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๒ เพื่อให้มหาเถรสมาคมชี้ว่าเรื่องพระลิขิตทางมหาเถรสมาคมจะเอาอย่างไร เพราะเป็นที่คาใจของสังคม ในที่สุดมหาเถรสมาคมท่านก็มีมติว่า สนองพระดำริมาโดยตลอด แต่ให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม
พิจารณามติมหาเถรสมาคมดังกล่าวแล้วสามารถตีความได้ว่า
๑. ไม่มีการชี้ชัดว่า ที่ว่าเป็นพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชนั้น จริง หรือปลอม เพราะมีข่าววงในว่ามีบุคคลกลุ่มหนึ่งอาศัยที่เป็นคนใกล้ชิดกับพระองค์มีส่วน เกี่ยวข้องในการดำเนินการเกี่ยวกับพระลิขิต
๒. ถ้าเป็นพระลิขิตจริง มหาเถรสมาคมท่านวินิจฉัยว่าเป็นเพียงพระดำริ หรือความเห็นของพระองค์เท่านั้น มิได้เป็นพระบัญชา หรือคำสั่ง ตามที่กฎหมายให้อำนาจท่านไว้
๓. มหาเถรสมาคมไม่ปฎิเสธเรื่องพระลิขิต โดยระบุชัดแจ้งว่าพระดำริใดๆที่สมเด็จพระสังฆราชแจ้งให้มหาเถรสมาคมทราบ นั้น ได้มีการสนองพระราชดำริมาโดยตลอด แต่ให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม
๔. พระดำริที่เป็นพระลิขิตทั้ง ๕ ฉบับนั้นแรกๆเป็นดำริในเรื่องเกี่ยวกับการบิดเบือนคำสอนของพุทธองค์ ก็คงหมายถึง นิพพานเป็นอัตตา ทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อแตกแยกออกไป ถือว่าเป็นอนันตริยกรรม ต้องอาบัติคือโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทหรือข้อห้ามแห่งภิกษุ ในกรณีนี้เข้าข่ายสังฆเภทคือยังสงฆ์ให้แตกกัน เป็นครุกาบัติแต่ไม่ถึงขั้นหนักสุดเป็นอาบัติสังฆาทิเสส เทียบกับโทษทางฝ่ายอาณาจักรคือจำคุกตลอดชีวิต หากยอมรับโทษและประพฤติดีก็มีสิทธิลดหย่อนผ่อนโทษกลับมาเข้าหมู่พวกหรือคณะ สงฆ์ได้
แต่ต่อมาได้มีการออกพระลิขิตอีก เป็นการยกเอาเรื่องการโกงสมบัติของผู้อื่น ตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไป ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระทันที ในกรณีนี้ ไม่ว่าจะ มีผู้รู้เห็นหรือไม่ ไม่ว่าจะมีการสั่งให้สึก ไม่ว่าจะมีการจับสึก หรือไม่ก็ตาม ภิกษุผู้ละเมิด พระธรรมวินัยข้อนี้ ต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระโดยอัตโนมัติ เมื่อตรวจดูเอกสารที่อ้างว่าเป็นพระลิขิตแล้ว เอกสารฉบับนี้มีเพียงหัวกระดาษไม่มีลายพระหัตถ์ ประกอบการใช้ถ้อยคำก็ผิดแปลกพระลิขิตที่สมเด็จพระสังฆราชเคยออกมา เป็นการยกเอาเรื่องที่ดินที่เป็นของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง พูดง่ายๆคือเจตนาให้เข้าฐานความผิดทางพระธรรมวินัยคือ ลักทรัพย์ ๕ มาสกขึ้นไป เป็นครุกาบัติ เป็นอาบัติหนักสุด มีโทษต้องสึกและบวชไม่ได้อีกตลอดชีวิต เทียบได้กับโทษประหารชีวิต
ประเด็นที่ ๓ สมเด็จพระสังฆราชมีอำนาจให้ภิกษุปาราชิกได้หรือไม่
ในบรรดาลิขิตทั้ง ๕ ฉบับที่อ้างว่าเป็นพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชนั้น แม้เป็นเพียงการกล่าวถึงโทษที่จะลงกับภิกษุ ตามความผิดต่อพระธรรมวินัย ไม่เจาะจงถึงพระธมฺมชโยโดยตรง แต่ในลิขิตฉบับต่อมา เป็นการกล่าวถึงวัดพระธรรมกายโดยตรง และยังกล่าวว่า ได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพื่อเทอดทูนรักษาพระพุทธศาสนาให้พ้นถูกทำลาย สมบูรณ์ดีที่สุดแล้วตามอำนาจ
ผมขอตั้งโจทย์ให้ท่านทั้งหลายช่วยกันคิดว่า สมเด็จพระสังฆราชมีอำนาจสั่งให้ประหารชีวิตพระภิกษุได้หรือไม่ ท่านอ้างว่าทำหน้าที่สมบูรณ์ตามอำนาจ ผมดูแล้วไม่มีกฎหมาย พระธรรมวินัยและกฎมหาเถรสมาคมให้อำนาจท่านไว้ ในครั้งพุทธกาลมีภิกษุบางรูปพยายามกราบทูลต่อพระพุทธองค์ว่า หากพระองค์เสด็จปรินิพพานแล้วขอให้ตั้งภิกษุขึ้นมาสืบแทนพุทธองค์ แต่พระองค์ได้ตรัสว่า พระธรรมเป็นเสมือนตัวแทนของพระองค์ขอให้สาวกของพระองค์ถือเอาคำสอนของ พระองค์เป็นหลัก ผมเองก็ได้เคยถามผู้รู้บางท่านว่า พระพุทธองค์เคยตรัสสั่งให้ภิกษุที่ละเมิดพระวินัยสงฆ์ที่พระองค์ตรัสไว้แล้ว ลงโทษเลย โดยไม่มีการสอบข้อเท็จจริง และไม่ให้ภิกษุที่ถูกโจทหรือถูกกล่าวหาพิสูจน์ความจริงหรือไม่ คำตอบก็คือไม่มี ในทางปฎิบัติเมื่อมีการกล่าวโจทภิกษุหรือภิกษุณีว่ามีการละเมิดข้อห้ามที่ พระองค์ทรงบัญญัติไว้ พระองค์จะประชุมสงฆ์แล้วแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกโจททราบต่อหน้าสาวก ให้โอกาสกับผู้ถูกโจทแก้ข้อกล่าวหาได้เต็มที่ เมื่อได้ข้อยุติแล้วพระองค์จึงปรับอาบัติแก่ภิกษุรูปนั้นตามโทษานุโทษ
ปี ๒๕๕๘ เหตุการณ์ก็กลับมาเหมือนปี ๒๕๔๒ อีกครั้งหนึ่ง มีเรื่องที่วัดพระธรรมกายจัดธุดงค์ในกลางกรุงเทพ พระท่านก็คิดแต่เพียงว่าสมัยพุทธกาลเมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปเมืองใด ประชาชนที่ศรัทธาก็จะโปรยดอกไม้ไปตลอดทางที่พระองค์เสด็จผ่าน ดูแล้วมันน่าจะดีนะ เป็นการเผยแพร่กิจของสงฆ์ทำให้ประชาชนบางส่วนสนใจในศาสนามากขึ้น แต่ในอีกมุมหนึ่งเขามองว่า ทำไมไม่ไปธุดงค์ในป่าในเมืองทำให้รถติดเดินทางลำบาก ยิ่งตอนนี้พวกโซเชียลมีเดียมาแรงเรื่องที่น่าจะดีกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของ คนรุ่นใหม่ หลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์อื่นๆมาเสริมจนกลายเป็นข่าวที่ฮิตสุดๆ ต่อไปวัดพระธรรมกายคงจะได้ใช้กรณีนี้เป็นกรณีศึกษา มีบางท่านถามความเห็นของผมในเรื่องนี้ ผมตอบไปว่าเป็นแค่น้ำจิ้ม เพราะอาจารย์แสวงท่านเคยพูดกับผมไว้ว่า กรณีวัดพระธรรมกายนั้นถ้ามีเหตุเพียงนิดเดียวมันจะลามไปใหญ่ และจะมีพวกที่คอยจ้องเรื่องสมบัติของพระพุทธศาสนา ที่ดินวัด เงินของวัด ยิ่งถ้ามีสภาผู้แทนโดยมีกรรมาธิการที่เกี่ยวกับศาสนาและวัฒนธรรม ซึ่งมีผู้นับถือศาสนาอื่นร่วมด้วยจะอาศัยจังหวะที่คณะสงค์เพลี่ยงพล้ำ กระหน่ำซ้ำเติมทันที เรื่องนี้อาจารย์แสวงท่านพูดไว้จริงๆนะจะบอกให้
เอาละผมจะเล่าเรื่องที่หลายคนถามผม พี่ทนาย คราวนี้มีหลายฝ่ายออกมาให้ข่าวชี้นำโดยยกเอาพระลิขิตมาอ้าง ที่เห็นจะๆก็คือ อาจารย์เจิมศักดิ์ เจ้าเก่า นายไพบูลย์ นิติตะวัน และทนายวันชัย สอนศิริ ทั้งสองคนนี้เป็นดาวรุ่งพุ่งแรง ยิ่งทนายวันชัยนั้นท่านเคยบวชเรียนเป็นมหาเปรียญธรรมด้วยแล้วถือว่าเป็นผู้ ที่น่าเชื่อถือ ส่วนคนอื่นๆโดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ ก็จะเอาข้อความจากหนังสือพิมพ์มาพูดแล้วก็ตีข่าวใส่ไข่คิดว่าตัวนั้นปกป้อง พระพุทธศาสนา แต่น้อยคนที่จะเข้าวัดปฎิบัติธรรม หรือทำบุญ แต่ก็จะเป็นเดือดเป็นแค้นแทนคนอื่น ปล่อยเขาไปเถอะ
ถามตรงๆนะครับก่อนที่ท่านมาฟังผมเล่าเรื่องลิขิตพระสังฆราชนี้ ท่านเคยเห็นข้อความในพระลิขิตหรือเปล่า รู้ใหมว่าทำไมจึงมีพระลิขิต และรู้ใหมว่ามติมหาเถรสมาคมที่เกี่ยวกับวัดพระธรรมกายมีการดำเนินการเป็น ขั้นเป็นตอนอย่างไร ถ้าผมเล่าแบบฟันธงก็จะหาว่าทนายเข้าข้างมหาเถรสมาคม ผมเคยเป็นเด็กวัดมาก่อนจึงรู้ถึงวัตรปฎิบัติของพระท่าน แต่ละรูปนั้นแตกต่างกันไป แต่ขอให้เชื่อผมเถอะครับ กรรมการมหาเถรสมาคมแต่ละรูปนั้นท่านมีภูมิรู้ลึกซึ้งจริงๆ การออกมติแต่ละครั้งท่านมีทางออกเสมอ
เอายังงี้ก็แล้วกัน สมมุติว่าทนายวันไชท่านเป็นทนายของจำเลยคดีอาญาของคุณปื๊ดคดีก่อการร้าย คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล วันหนึ่งท่านไปศาลพร้อมเสมียนทนาย ไปพบเสมียนหน้าบัลลังก์ในคดีดังกล่าว เมื่อคุยธุระเสร็จก็กลับแต่ปรากฎว่าเสมียนของท่านลืมถุงซึ่งข้างในมีกล่อ งฃนมอยู่ ต่อมาได้มีการแพร่ข่าวสพัดไปทั่วว่า ทนายวันไชลืมถุงขนมไว้ที่ศาล ขอให้มารับคืนได้ พอข่าวทำนองนี้ออกไป ก็มีการโพสต์ต่อเติมเสริมแต่งว่า คงอีหรอบเดียวกับที่ทนายที่ลืมถุงขนมที่ศาลซึ่งเป็นข่าวดังไปทั่วราช อาณาจักร ความที่ทนายวันไชท่านเป็นคนดัง พวกโซเชียลมีเดียเลยโพสต์กันระเบิดเถิดเทิง แต่เรื่องจริงเสมียนของท่านลืมถุงขนมจริงๆไม่เกี่ยวกับการวิ่งเต้นในคดี ต่อมาได้มีผู้สื่อข่าวไปถามนายกสภาทนายความว่ากรณีที่ทนายวันไชไปติดต่อ เรื่องคดีแล้วลืมถุงขนมที่ศาลนั้น ในฐานะที่ท่านเป็นนายกสภาทนายความท่านจะว่าอย่างไร ท่านนายกสภาทนายความท่านก็พูดว่าถ้าเป็นการไปติดต่อเรื่องคดีที่ศาลแล้วไปทำ เป็นลืมถุงขนม ถ้ามีเจตนาก็ต้องมีการลงโทษด้วยการประหารชีวิตคือถอนใบอนุญาตว่าความตลอด ชีวิต เพราะเป็นการทำให้สภาทนายความเสียหาย เท่านั้นแหละครับ สื่อมวลชนทุกแขนงต่างเสนอข่าวอย่างเมามันว่านายกสภาทนายความชี้ว่าต้องถอนใบ อนุญาตทนายวันไช ทนายวันไชไม่มีสิทธิว่าความและยังถูกเรียกว่าอดีตทนายความเสียอีก เป็นท่านเป็นทนายวันไชจะรู้สึกอย่างไร เจ็บปวดแค่ไหน ไม่มีการสอบถามความจริงแต่สังคมรุมกันประณามจนกลายเป็นคนผิด ความจริงแล้วนายกสภาทนายความไม่มีสิทธิที่จะชี้ว่าควรลงโทษอย่างไร มันต้องมีการร้องเรียนหรือตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ต้องให้ทนายวันไชรับทราบข้อกล่าวหาและพิสูจน์ความจริงเสียก่อน ถ้าเป็นความผิดเมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยแล้วว่าผิดจริง นายกสภาทนายความจึงจะสามารถออกคำสั่งลงโทษได้
ในทางกลับกันกรณีสมเด็จพระสังฆราชมีพระดำริว่าวัดพระธรรมกายกระทำความผิด ต้องถูกประหารชีวิต ทั้งๆที่ไม่ผ่านกระบวนการพิจารณาจากศาลสงฆ์ เรียกว่าคณะผู้พิจารณาชั้นต้น การอุทธรณ์ และฎีกา ท่านคิดว่าพระลิขิตนี้จะต้องปฎิบัติตามหรือไม่
เรื่องลิขิตพระสังฆราชกรณีวัดพรธรรมกายนั้น ผมขอฟันธงว่ามหาเถรสมาคมท่านได้ปกป้องพระเกียรติของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ขอเอวังด้วยประการฉะนี้แล นมัสเต ครับ
ประเด็นแรก สมเด็จพระสังฆราชมีอำนาจในการปกครองคณะสงฆ์มากน้อยเพียงใด
๑) สมเด็จพระสังฆราชทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปรินายก ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ และทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชโดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัยและกฎมหาเถรสมาคม ( มาตรา ๘ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ )
คณะสงฆ์เปรียบได้กับรัฐหนึ่งในราชอาณาจักรไทย แม้จะเป็นรัฐที่สามารถปกครองกันเองได้ แต่ก็อยู่ภายใต้กฎหมายไทย ประมุขของรัฐคือสมเด็จพระสังฆราช เทียบได้กับตำแหน่งประธานาธิบดี โดยพระมหากษัตริย์ทรงสถาปนา เป็นผู้บัญชาการคณะสงฆ์ สามารถออกคำสั่งให้คณะสงฆ์ปฎิบัติได้ เทียบได้กับคำสั่งนายกรัฐมนตรี สามารถบังคับและเอาผิดกับพระภิกษุที่อยู่ภายใต้การปกครอง ซึ่งเป็นไปตามพระธรรมวินัยและกฎมหาเถรสมาคม แต่คำสั่งหรือพระบัญชานั้นต้องไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายของราชอาณาจักรไทย และข้อสำคัญคือพระธรรมวินัยและกฎมหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นกฎหมายที่พระภิกษุต้องปฎิบัติด้วยความเคร่งครัด แม้สมเด็จพระสังฆราชจะมีอำนาจดังกล่าวข้างต้น แต่มิได้หมายความว่าพระองค์จะสามารถสั่งหรือมีพระบัญชาได้ตามอำเภอใจ
ทีนี้มาดูซิว่า กระดาษที่พิมพ์ข้อความ ๖ บรรทัด ที่สมเด็จพระสังฆราชถือเข้าไปในที่ประชุมมหาเถรสมาคมเมิ่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๒ นั้น มีความหมายว่าอะไร ข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์ว่า กระดาษที่มีข้อความแล้วพระองค์ได้ยื่นส่งให้สมเด็จพุฒาจารย์ ( วัดสระเกศ ) อ่านนั้น เป็นพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชจริง แม้จะไม่มีหัวกระดาษและลายพระหัตถ์ของพระองค์ก็ตาม ถามว่าลิขิตฉบับนั้นเป็นพระบัญชาหรือไม่ ผมมีความเห็นว่าไม่ใช่พระบัญชา เพราะมิได้มีลักษณะเป็นคำสั่งเป็นเพียงความเห็นดำริของพระองค์เท่านั้น และผมมีความเห็นว่า ลิขิตฉบับนั้นเป็นฉบับจริงโดยไม่ต้องสงสัย
๒.) การปกครองคณะสงฆ์
คณะสงฆ์ไทยมีอยู่ ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายมหานิกาย กับฝ่ายธรรมยุตนิกาย ทั้งสองฝ่ายแยกการปกครองแต่ละฝ่าย กล่าวคือวัดที่สังกัดมหานิกายก็จะมีคณะปกครองเฉพาะฝ่ายมหานิกาย ส่วนวัดที่สังกัดธรรมยุตนิกายก็จะมีคณะปกครองเฉพาะฝ่ายธรรมยุตนิกาย ทั้งสองฝ่ายแยกกันเป็นอิสระไม่ก้าวก่ายกัน แต่ในการปกครองคณะสงฆ์นั้นมี มหาเถรสมาคมเป็นองค์กรปกครองสูงสุด โดยมีประมุของค์เดียวกันคือ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
คณะสงฆ์ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของมหาเถรสมาคม ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ ที่สำคัญ คือ ปกครองคณะสงฆ์ กำหนดการบรรพชาสามเณร ควบคุมและส่งเสริมการศึกษาฯ ของคณะสงฆ์ รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา ปฎิบัติหน้าที่อื่นๆตามกฎหมาย ( ตามมาตรา ๑๕ ตรี พ.ร.บ. คณะสงฆ์ )
มหาเถรสมาคมประกอบด้วย สมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่ง สมเด็จพระราชาคณะทุกรูปเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง และพระราชาคณะซึ่งสมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งจำนวนหนึ่ง เทียบกับทางฝ่ายอาณาจักรก็คือ คณะรัฐมนตรี เป็นรัฐบาลผสม ซึ่งจะเห็นได้ว่าท่านจะไม่ค่อยจะก้าวก่ายหน้าที่ทางปกครอง แต่ในเรื่องพระธรรมวินัยแล้วไม่มีการเพิกเฉยหรือละเลยหน้าที่ความรับผิดชอบ
สรุปแล้วในกรณีที่มีปัญหาในการปกครองคณะสงฆ์นั้น เมื่อกระบวนการพิจารณาเป็นไปตามขั้นตอนหลักการโดยมหาเถรสมาคมได้พิจารณาโดย รอบคอบและสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว เรื่องจะสิ้นสุดโดยไม่มีการอุทธรณ์และจะไม่สามารถรื้อฟื้นมาพิจารณาใหม่ได้ กรณีวัดพระธรรมกายนั้นมหาเถรสมาคมท่านถือว่าเรื่องต่างๆที่เป็นที่วิพากษ์ วิจารณ์นั้นเอวังด้วยประการฉะนี้แล แต่อาจารย์แสวงท่านบอกผมว่า เป็นเพียงยกแรกเท่านั้นคุณทนายคอยดูก็แล้วกัน ทิฐิพระนั้นอย่าให้ผมพูดเลย สมัยหลวงพ่ออาจ พระพิมลธรรม วัดมหาธาตุ ผมเคยเจอมาแล้ว และแล้วก็เป็นไปตามที่ท่านคาดการไว้ไม่มีผิด หนักหน่วงรุนแรงและต้องแก้ด้วยการเมือง ตอนนั้นผมคิดไม่ออกแต่ตอนนี้จึงถึงบางอ้อ
ประเด็นที่ ๒ ลิขิตพระสังฆราชเป็นของจริงหรือทำปลอม
ฉบับแรกผมฟันธงไปแล้วว่าเป็นของจริง ไม่ต้องอธิบายอีก ส่วนอีก ๕ ฉบับมีการโต้แย้งกันมาก มีการวิพากษ์วิจารณ์เป็น ๒ แนว คือ เป็นพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชจริง โดยพระองค์อาจดำรัสให้พระเลขาเป็นผู้ดำเนินการ เมิ่อเป็นพระลิขิตจริงก็จะมีผู้ให้ความเห็นว่า มหาเถรสมาคมต้องปฎิบัติตามพระบัญชา พระธมฺมชโยต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระโดยอัตโนมัติ ไม่ได้เป็นพระแล้ว อีกฝ่ายก็ว่าเป็นพระลิขิตปลอม มีบางกลุ่มร่วมกันทำขึ้นมาหวังจะบีบบังคับให้มหาเถรสมาคมจับพระธมฺมชโยสึก เหตุการณ์ในช่วงนั้นสื่อมวลชนพุ่งเป้าไปที่มหาเถรสมาคมให้จัดการตามกระแสของ สังคมที่ชี้นำ แต่มหาเถรสมาคมท่านก็นิ่งเฉย จนกระทั่งนายพิภพ กาญจนะ เลขาธิการมหาเถรสมานำเอาลิขิตรวม ๕ ฉบับ เข้าที่ประชุมมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๒ เพื่อให้มหาเถรสมาคมชี้ว่าเรื่องพระลิขิตทางมหาเถรสมาคมจะเอาอย่างไร เพราะเป็นที่คาใจของสังคม ในที่สุดมหาเถรสมาคมท่านก็มีมติว่า สนองพระดำริมาโดยตลอด แต่ให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม
พิจารณามติมหาเถรสมาคมดังกล่าวแล้วสามารถตีความได้ว่า
๑. ไม่มีการชี้ชัดว่า ที่ว่าเป็นพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชนั้น จริง หรือปลอม เพราะมีข่าววงในว่ามีบุคคลกลุ่มหนึ่งอาศัยที่เป็นคนใกล้ชิดกับพระองค์มีส่วน เกี่ยวข้องในการดำเนินการเกี่ยวกับพระลิขิต
๒. ถ้าเป็นพระลิขิตจริง มหาเถรสมาคมท่านวินิจฉัยว่าเป็นเพียงพระดำริ หรือความเห็นของพระองค์เท่านั้น มิได้เป็นพระบัญชา หรือคำสั่ง ตามที่กฎหมายให้อำนาจท่านไว้
๓. มหาเถรสมาคมไม่ปฎิเสธเรื่องพระลิขิต โดยระบุชัดแจ้งว่าพระดำริใดๆที่สมเด็จพระสังฆราชแจ้งให้มหาเถรสมาคมทราบ นั้น ได้มีการสนองพระราชดำริมาโดยตลอด แต่ให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม
๔. พระดำริที่เป็นพระลิขิตทั้ง ๕ ฉบับนั้นแรกๆเป็นดำริในเรื่องเกี่ยวกับการบิดเบือนคำสอนของพุทธองค์ ก็คงหมายถึง นิพพานเป็นอัตตา ทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อแตกแยกออกไป ถือว่าเป็นอนันตริยกรรม ต้องอาบัติคือโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทหรือข้อห้ามแห่งภิกษุ ในกรณีนี้เข้าข่ายสังฆเภทคือยังสงฆ์ให้แตกกัน เป็นครุกาบัติแต่ไม่ถึงขั้นหนักสุดเป็นอาบัติสังฆาทิเสส เทียบกับโทษทางฝ่ายอาณาจักรคือจำคุกตลอดชีวิต หากยอมรับโทษและประพฤติดีก็มีสิทธิลดหย่อนผ่อนโทษกลับมาเข้าหมู่พวกหรือคณะ สงฆ์ได้
แต่ต่อมาได้มีการออกพระลิขิตอีก เป็นการยกเอาเรื่องการโกงสมบัติของผู้อื่น ตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไป ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระทันที ในกรณีนี้ ไม่ว่าจะ มีผู้รู้เห็นหรือไม่ ไม่ว่าจะมีการสั่งให้สึก ไม่ว่าจะมีการจับสึก หรือไม่ก็ตาม ภิกษุผู้ละเมิด พระธรรมวินัยข้อนี้ ต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระโดยอัตโนมัติ เมื่อตรวจดูเอกสารที่อ้างว่าเป็นพระลิขิตแล้ว เอกสารฉบับนี้มีเพียงหัวกระดาษไม่มีลายพระหัตถ์ ประกอบการใช้ถ้อยคำก็ผิดแปลกพระลิขิตที่สมเด็จพระสังฆราชเคยออกมา เป็นการยกเอาเรื่องที่ดินที่เป็นของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง พูดง่ายๆคือเจตนาให้เข้าฐานความผิดทางพระธรรมวินัยคือ ลักทรัพย์ ๕ มาสกขึ้นไป เป็นครุกาบัติ เป็นอาบัติหนักสุด มีโทษต้องสึกและบวชไม่ได้อีกตลอดชีวิต เทียบได้กับโทษประหารชีวิต
ประเด็นที่ ๓ สมเด็จพระสังฆราชมีอำนาจให้ภิกษุปาราชิกได้หรือไม่
ในบรรดาลิขิตทั้ง ๕ ฉบับที่อ้างว่าเป็นพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชนั้น แม้เป็นเพียงการกล่าวถึงโทษที่จะลงกับภิกษุ ตามความผิดต่อพระธรรมวินัย ไม่เจาะจงถึงพระธมฺมชโยโดยตรง แต่ในลิขิตฉบับต่อมา เป็นการกล่าวถึงวัดพระธรรมกายโดยตรง และยังกล่าวว่า ได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพื่อเทอดทูนรักษาพระพุทธศาสนาให้พ้นถูกทำลาย สมบูรณ์ดีที่สุดแล้วตามอำนาจ
ผมขอตั้งโจทย์ให้ท่านทั้งหลายช่วยกันคิดว่า สมเด็จพระสังฆราชมีอำนาจสั่งให้ประหารชีวิตพระภิกษุได้หรือไม่ ท่านอ้างว่าทำหน้าที่สมบูรณ์ตามอำนาจ ผมดูแล้วไม่มีกฎหมาย พระธรรมวินัยและกฎมหาเถรสมาคมให้อำนาจท่านไว้ ในครั้งพุทธกาลมีภิกษุบางรูปพยายามกราบทูลต่อพระพุทธองค์ว่า หากพระองค์เสด็จปรินิพพานแล้วขอให้ตั้งภิกษุขึ้นมาสืบแทนพุทธองค์ แต่พระองค์ได้ตรัสว่า พระธรรมเป็นเสมือนตัวแทนของพระองค์ขอให้สาวกของพระองค์ถือเอาคำสอนของ พระองค์เป็นหลัก ผมเองก็ได้เคยถามผู้รู้บางท่านว่า พระพุทธองค์เคยตรัสสั่งให้ภิกษุที่ละเมิดพระวินัยสงฆ์ที่พระองค์ตรัสไว้แล้ว ลงโทษเลย โดยไม่มีการสอบข้อเท็จจริง และไม่ให้ภิกษุที่ถูกโจทหรือถูกกล่าวหาพิสูจน์ความจริงหรือไม่ คำตอบก็คือไม่มี ในทางปฎิบัติเมื่อมีการกล่าวโจทภิกษุหรือภิกษุณีว่ามีการละเมิดข้อห้ามที่ พระองค์ทรงบัญญัติไว้ พระองค์จะประชุมสงฆ์แล้วแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกโจททราบต่อหน้าสาวก ให้โอกาสกับผู้ถูกโจทแก้ข้อกล่าวหาได้เต็มที่ เมื่อได้ข้อยุติแล้วพระองค์จึงปรับอาบัติแก่ภิกษุรูปนั้นตามโทษานุโทษ
ปี ๒๕๕๘ เหตุการณ์ก็กลับมาเหมือนปี ๒๕๔๒ อีกครั้งหนึ่ง มีเรื่องที่วัดพระธรรมกายจัดธุดงค์ในกลางกรุงเทพ พระท่านก็คิดแต่เพียงว่าสมัยพุทธกาลเมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปเมืองใด ประชาชนที่ศรัทธาก็จะโปรยดอกไม้ไปตลอดทางที่พระองค์เสด็จผ่าน ดูแล้วมันน่าจะดีนะ เป็นการเผยแพร่กิจของสงฆ์ทำให้ประชาชนบางส่วนสนใจในศาสนามากขึ้น แต่ในอีกมุมหนึ่งเขามองว่า ทำไมไม่ไปธุดงค์ในป่าในเมืองทำให้รถติดเดินทางลำบาก ยิ่งตอนนี้พวกโซเชียลมีเดียมาแรงเรื่องที่น่าจะดีกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของ คนรุ่นใหม่ หลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์อื่นๆมาเสริมจนกลายเป็นข่าวที่ฮิตสุดๆ ต่อไปวัดพระธรรมกายคงจะได้ใช้กรณีนี้เป็นกรณีศึกษา มีบางท่านถามความเห็นของผมในเรื่องนี้ ผมตอบไปว่าเป็นแค่น้ำจิ้ม เพราะอาจารย์แสวงท่านเคยพูดกับผมไว้ว่า กรณีวัดพระธรรมกายนั้นถ้ามีเหตุเพียงนิดเดียวมันจะลามไปใหญ่ และจะมีพวกที่คอยจ้องเรื่องสมบัติของพระพุทธศาสนา ที่ดินวัด เงินของวัด ยิ่งถ้ามีสภาผู้แทนโดยมีกรรมาธิการที่เกี่ยวกับศาสนาและวัฒนธรรม ซึ่งมีผู้นับถือศาสนาอื่นร่วมด้วยจะอาศัยจังหวะที่คณะสงค์เพลี่ยงพล้ำ กระหน่ำซ้ำเติมทันที เรื่องนี้อาจารย์แสวงท่านพูดไว้จริงๆนะจะบอกให้
เอาละผมจะเล่าเรื่องที่หลายคนถามผม พี่ทนาย คราวนี้มีหลายฝ่ายออกมาให้ข่าวชี้นำโดยยกเอาพระลิขิตมาอ้าง ที่เห็นจะๆก็คือ อาจารย์เจิมศักดิ์ เจ้าเก่า นายไพบูลย์ นิติตะวัน และทนายวันชัย สอนศิริ ทั้งสองคนนี้เป็นดาวรุ่งพุ่งแรง ยิ่งทนายวันชัยนั้นท่านเคยบวชเรียนเป็นมหาเปรียญธรรมด้วยแล้วถือว่าเป็นผู้ ที่น่าเชื่อถือ ส่วนคนอื่นๆโดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ ก็จะเอาข้อความจากหนังสือพิมพ์มาพูดแล้วก็ตีข่าวใส่ไข่คิดว่าตัวนั้นปกป้อง พระพุทธศาสนา แต่น้อยคนที่จะเข้าวัดปฎิบัติธรรม หรือทำบุญ แต่ก็จะเป็นเดือดเป็นแค้นแทนคนอื่น ปล่อยเขาไปเถอะ
ถามตรงๆนะครับก่อนที่ท่านมาฟังผมเล่าเรื่องลิขิตพระสังฆราชนี้ ท่านเคยเห็นข้อความในพระลิขิตหรือเปล่า รู้ใหมว่าทำไมจึงมีพระลิขิต และรู้ใหมว่ามติมหาเถรสมาคมที่เกี่ยวกับวัดพระธรรมกายมีการดำเนินการเป็น ขั้นเป็นตอนอย่างไร ถ้าผมเล่าแบบฟันธงก็จะหาว่าทนายเข้าข้างมหาเถรสมาคม ผมเคยเป็นเด็กวัดมาก่อนจึงรู้ถึงวัตรปฎิบัติของพระท่าน แต่ละรูปนั้นแตกต่างกันไป แต่ขอให้เชื่อผมเถอะครับ กรรมการมหาเถรสมาคมแต่ละรูปนั้นท่านมีภูมิรู้ลึกซึ้งจริงๆ การออกมติแต่ละครั้งท่านมีทางออกเสมอ
เอายังงี้ก็แล้วกัน สมมุติว่าทนายวันไชท่านเป็นทนายของจำเลยคดีอาญาของคุณปื๊ดคดีก่อการร้าย คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล วันหนึ่งท่านไปศาลพร้อมเสมียนทนาย ไปพบเสมียนหน้าบัลลังก์ในคดีดังกล่าว เมื่อคุยธุระเสร็จก็กลับแต่ปรากฎว่าเสมียนของท่านลืมถุงซึ่งข้างในมีกล่อ งฃนมอยู่ ต่อมาได้มีการแพร่ข่าวสพัดไปทั่วว่า ทนายวันไชลืมถุงขนมไว้ที่ศาล ขอให้มารับคืนได้ พอข่าวทำนองนี้ออกไป ก็มีการโพสต์ต่อเติมเสริมแต่งว่า คงอีหรอบเดียวกับที่ทนายที่ลืมถุงขนมที่ศาลซึ่งเป็นข่าวดังไปทั่วราช อาณาจักร ความที่ทนายวันไชท่านเป็นคนดัง พวกโซเชียลมีเดียเลยโพสต์กันระเบิดเถิดเทิง แต่เรื่องจริงเสมียนของท่านลืมถุงขนมจริงๆไม่เกี่ยวกับการวิ่งเต้นในคดี ต่อมาได้มีผู้สื่อข่าวไปถามนายกสภาทนายความว่ากรณีที่ทนายวันไชไปติดต่อ เรื่องคดีแล้วลืมถุงขนมที่ศาลนั้น ในฐานะที่ท่านเป็นนายกสภาทนายความท่านจะว่าอย่างไร ท่านนายกสภาทนายความท่านก็พูดว่าถ้าเป็นการไปติดต่อเรื่องคดีที่ศาลแล้วไปทำ เป็นลืมถุงขนม ถ้ามีเจตนาก็ต้องมีการลงโทษด้วยการประหารชีวิตคือถอนใบอนุญาตว่าความตลอด ชีวิต เพราะเป็นการทำให้สภาทนายความเสียหาย เท่านั้นแหละครับ สื่อมวลชนทุกแขนงต่างเสนอข่าวอย่างเมามันว่านายกสภาทนายความชี้ว่าต้องถอนใบ อนุญาตทนายวันไช ทนายวันไชไม่มีสิทธิว่าความและยังถูกเรียกว่าอดีตทนายความเสียอีก เป็นท่านเป็นทนายวันไชจะรู้สึกอย่างไร เจ็บปวดแค่ไหน ไม่มีการสอบถามความจริงแต่สังคมรุมกันประณามจนกลายเป็นคนผิด ความจริงแล้วนายกสภาทนายความไม่มีสิทธิที่จะชี้ว่าควรลงโทษอย่างไร มันต้องมีการร้องเรียนหรือตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ต้องให้ทนายวันไชรับทราบข้อกล่าวหาและพิสูจน์ความจริงเสียก่อน ถ้าเป็นความผิดเมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยแล้วว่าผิดจริง นายกสภาทนายความจึงจะสามารถออกคำสั่งลงโทษได้
ในทางกลับกันกรณีสมเด็จพระสังฆราชมีพระดำริว่าวัดพระธรรมกายกระทำความผิด ต้องถูกประหารชีวิต ทั้งๆที่ไม่ผ่านกระบวนการพิจารณาจากศาลสงฆ์ เรียกว่าคณะผู้พิจารณาชั้นต้น การอุทธรณ์ และฎีกา ท่านคิดว่าพระลิขิตนี้จะต้องปฎิบัติตามหรือไม่
เรื่องลิขิตพระสังฆราชกรณีวัดพรธรรมกายนั้น ผมขอฟันธงว่ามหาเถรสมาคมท่านได้ปกป้องพระเกียรติของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ขอเอวังด้วยประการฉะนี้แล นมัสเต ครับ