ปมปริศนา‘พระลิขิต’ ‘ประยูร รักยิ้ม’Who are you?
ต้องยอมรับว่าการที่ พระพุทธะอิสระ ออกมาเดินเกมดับเครื่องชน พระธัมมชโย แห่งวัดธรรมกาย ถึงขั้นประกาศกร้าวว่า หากสึกพระธัมมชโย ไม่สำเร็จ ก็จะเป็นฝ่ายยอมสึกเสียเอง
ถือว่าเป็นประเด็นที่แรงมากอย่างยิ่งสำหรับประเด็นที่ถูกมอง
ว่าวงการสงฆ์ สถาบันพุทธศาสนา กำลังถูกท้าทาย สั่นสะเทือน
ชนิดที่มีอนาคตของสถาบันเองเป็นเดิมพัน
แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือ เรื่องนี้ถูกนำมาเปิดประเด็นว่าพระธัมมชโยควรจะต้องอาบัติปาราชิกไปแล้วตั้งแต่ปี 2542 โดยอ้างถึงเอกสารพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งสุดท้ายกลายเป็นคำถามว่า เอกสารดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไร มีใครหรือขบวนการใดๆทำให้เกิดขึ้นมาหรือไม่
เพราะมีประเด็นเรื่องการใช้ตัวเลขอารบิค
แทนที่จะเป็นตัวเลขไทย ซึ่งปกติพระลิขิตตลอดเวลาที่ผ่านมา
จะเป็นเลขไทยเท่านั้น แต่เอกสารดังกล่าวกลับมีตัวเลขอารบิคปนอยู่มั่วไปหมด
หนำซ้ำขนาดและรูปแบบตัวหนังสือที่ดูแตกต่างกัน
โดยเฉพาะในตำแหน่งที่มีการวงเล็บ วันเดือนปี ที่เป็นตัวเลขอารบิคนั้น
แตกต่างจากตัวอักษรส่วนใหญ่ในพระลิขิตอย่างชัดเจน
จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสะเทือนใจ เพราะล่วงเลยไปถึงขั้นว่า มีการปลอมพระลิขิตเกิดขึ้นหรือไม่…
ซึ่ง บางกอก ทูเดย์มองดูปรากฏการณ์นี้
ด้วยความวิตกกังวลและห่วงใยในพระพุทธศาสนาที่สำคัญห่วงใยไปถึงการก้าวล่วง
พระเกียรติของสมเด็จพระสังฆราชผู้อยู่ในใจของพุทธศาสนิกชนไทยทุกคน
เพียงเพราะต้องการเอาชนะกันของใครบางคนที่อยู่เบื้องหลัง
ทำให้มีเอกสารเกี่ยวกับพระลิขิตว่อนไปหมด และทำให้เกิดการเปิดหลักฐานว่า
จริงๆแล้วมีการปลอมพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชเกิดขึ้นจริง
มีการอ้างหลักฐานเรื่องการปลอมพระลิขิต ปลดนายบัณฑูร ล่ำซำ ผู้จัดการและประธานมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัยฯ จากตำแหน่ง ว่าได้มีการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามให้สืบสวนในทางลับ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 จนในที่สุดวันที่ 30 กรกฎาคม 2545 กองพิสูจน์หลักฐานได้ออกรายงานที่ 1001/2545 ลงความเห็นว่า ลายเซ็นของสมเด็จพระสังฆราช ในเอกสารทั้ง 6 รายการ เป็นลายเซ็นปลอม และได้มีการดำเนินคดีกับผู้รับใช้ใกล้ชิดในวัดบวรนิเวศหลายคน ในข้อหา “ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม” (เอกสาร1)
แล้วก็เป็นอย่างที่ห่วงจริงๆ เพราะเมื่อมีการตั้งข้อสงสัยว่าเอกสารพระลิขิตมีใครทำขึ้นมาหรือไม่ ก็เกิดมีเอกสารมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 16/2542 ออกมาอีกฉบับ เพื่อมุ่งยืนยันว่าพระลิขิตนั้นเป็นพระลิขิตจริง มีการอ้างถึงกรณีเอกสารวันที่ 26 เมษายน 2542 ด้วย ดังกล่าว (เอกสาร2)
ปัญหาก็คือเอกสารนี้ก็ถูกตั้งคำถามถึงที่มาที่ไปอีกเช่นกัน
เพราะยังคงมีประเด็นเดิมคือ มีตัวเลขอารบิคปนมา ในขณะที่การกรอกตัวเลขมติ
ใช้เลขไทย หรือแม้แต่การลงลายมือชื่อของผู้ลงนามในเอกสารก็ยังใช้เลขไทยว่า ๒๐ พ.ค.๔๒ ใต้ชื่อของนายประยูร รักยิ้ม
แถมตัวอักษรที่พิมพ์ชื่อนายประยูรก็คนละขนาดอีกแล้ว ตำแหน่งที่ควรจะพิมพ์ให้ชัดเจนว่าตำแหน่งอะไร ก็กลับใช้ลายมือเขียนเอาเอง ใต้ตัวพิมพ์ชื่อที่เอียงๆอย่างเห็นได้ชัด
ทำให้เกิดประเด็นสืบค้นกันว่าแล้ว “นายประยูร รักยิ้ม” ผู้นี้เป็นใคร? ถึงได้มาเป็นผู้ลงนามในเอกสารสำคัญเช่นนี้
ผลจากการสืบค้น เอกสารจากมติมหาเถรสมาคมช่วงปี 2542 ไม่สามารถที่จะค้นได้ว่านายประยูร ทำหน้าที่อะไร แต่มาพบในเอกสารมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 20/2545 เรื่องการขออนุมัติจ้างลูกจ้างชั่วคราวเป็นรายปี โดยอ้างมติเมื่อ วันที่ 20 กันยายน 2544 ที่ให้กรมศาสนาจ้างนายประยูร รักยิ้ม เป็นลูกจ้างชั่วคราวเป็นรายปี ในตำแหน่ง ที่ปรึกษาสำนักงานเลขาธิการมหาเถรสมาคม เงินเดือนเดือนละ 10,000 บาท โดยจ้างตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2544 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2545 ซึ่งเอกสารดังกล่าวอ้างว่าเพื่อประโยชน์ในงาน จึงสมควรอนุมัติให้จ้างต่ออีก 1 ปี คือตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2545 ไปถึง 30 กันยายน 2546 โดยเพิ่มเงินเดือนเป็น 24,170 บาท เอกสารลงนามโดย นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ รองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมศาสนา (เอกสาร 3)
และเอกสารมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 21/2546 ก็มีการอนุมัติการจ้างนายประยูร รักยิ้ม เป็นลูกจ้างชั่วคราวเป็นรายปี ในตำแหน่ง ที่ปรึกษาสำนักงานเลขาธิการมหาเถรสมาคม ต่ออีก 1 ปี คือตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2546 ถึง 30 กันยายน 2547 เอกสารลงนามโดย นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ ในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคม (เอกสาร 4)
ถ้านับตามหลักฐานที่ปรากฏ นายประยูรเข้ามาทำหน้าที่ในปี 2544 แล้วไฉนจึงสามารถลงนามในเอกสารปี 2542 ได้ และที่สำคัญตำแหน่งที่ปรึกษาที่เป็นลูกจ้างรายปี เงินเดือนแค่ 10,000 บาทในปี 2544 สามารถมาลงนามในเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเอกสารพระลิขิตได้หรือ?
จึงเป็นอีกครั้งที่ทำให้ความสงสัยในเรื่องเอกสารที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่สั่นสะเทือนวงการสงฆ์ ยิ่งทวีปมปริศนามากยิ่งขึ้น
ปมพิสดารเกี่ยวกับเอกสารเหล่านี้จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะต้อง
ทำให้กระจ่างต่อสังคมไทย
และสถาบันพุทธศานาอันเป็นที่เคารพของพุทธศาสนิกชนชาวไทยทุกคน
ด้วยเหตุนี้ หากว่าการที่พระพุทธะอิสระเดินเกมแรง
ด้วยเชื่อมั่นในเอกสารต่างๆที่ว่อนไปหมดในเวลานี้
โดยที่ยังไม่ได้ตรวจสอบถึงที่มาที่ไปของเอกสารให้ชัดเจนเสียก่อนก็น่าเป็น
ห่วงอย่างยิ่งเช่นกัน
ยิ่งพระพุทธะอิสระบอกว่า ยังไงก็ไม่หยุด และจะไม่ขอเป็นสุนัขเชื่องให้ใครจูงจมูกนั้น ถือว่าเด็ดเดี่ยวมาก แต่ก็อยากให้ฉุกใจคิดว่า หากจะเป็นสุนัขดุที่ไม่ยอมใครหน้าไหนทั้งสิ้น ก็จะต้องมีจมูกที่ปราดเปรียวด้วยว่าอะไรจริงอะไรเท็จ จะได้ไม่พลาดท่าตกเป็นเครื่องมือของใครบางคน
วันนี้ “ศรัทธาคืนผ้าเหลือง” ยังเป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนต้องการเป็นอย่างยิ่ง