NO MARRY OVER RELIGIOUS !
ห้ามแต่งงานข้ามศาสนา
พม่าผ่านกฎหมายเข้ม
อา..พระพุทธศาสนากลายเป็น
"ศาสนาประจำชาติ"
ของพม่าอย่างเป็นทางการเป็นชาติแรกในโลกไปแล้ว เมื่อรัฐสภาพม่าได้ออกกฎหมาย
"ห้ามแต่งงานข้ามศาสนา"
โดยเฉพาะกับ
"ศาสนาอิสลาม"
ซึ่งถือว่าได้เปรียบพุทธ เพราะชายมุสลิมมีเมียได้
4 ขณะที่ชาวพุทธมีศีล
"ห้ามนอกใจเมีย หรือห้ามมีเกิน
1"
สุดท้ายก็สู้อิสลามเรื่องประชากรไม่ได้ แถมอิสลามยังห้ามเปลี่ยนศาสนา
(แต่ถ้าคู่สมรสเปลี่ยนมานับถืออิสลามนั้นได้)
แต่พุทธส่วนใหญ่กลับมองว่า
"ความรักใหญ่กว่าศาสนา"
หรือแม้แต่ชาวยิวก็มีบัญญัติเกี่ยวกับการแต่งงานข้ามศาสนาเอาไว้
มีชาวพุทธเท่านั้นกระมังที่อ่อนแอที่สุดในเรื่องนี้
เรื่องนี้รู้กันมานาน แต่ทำอะไรไม่ได้
เพราะข้ออ้างทางศาสนาถือว่าเป็นเรื่องบอบบางทางใจคน
ชาวมุสลิมก็อ้างศาสนาเพื่อหาศาสนิกเพิ่ม
ขณะที่พุทธก็อ้างศาสนาเพื่อทิ้งศาสนาไปอยู่กับผัวกับเมียต่างศาสนา
นางวิสาขาน่าจะเป็น
"ตัวอย่าง"
ของชาวพุทธ ที่แต่งงานข้ามศาสนา
แต่สามารถเปลี่ยนสามีและพ่อผัวให้มาเป็นพุทธได้ ถ้าได้แบบนางวิสาขาก็ดี
จะได้ไม่ต้องเสียเปรียบในเรื่องประชากรทางศาสนา
เอ้า
! พวกเราชาวพุทธช่วยกันด่ารัฐบาลพม่าเร๊ว !
เมื่อโลกกว้าง แต่ทางแคบ
โดยเฉพาะ "ทางใจ" ที่ไม่สามารถเปลี่ยนศาสนาได้
โดยเฉพาะ "ทางใจ" ที่ไม่สามารถเปลี่ยนศาสนาได้
ในเมื่อคุณ
"หัวหมอ"
เล่นบัญญัติเอาเปรียบลัทธิประเพณีอื่นไว้ในศาสนา ก็จึงถูกคนศาสนาอื่นเขา
"เอาคืน" บ้าง ดังนั้น
ศาสนาใดที่ใจแคบ หรือไม่มีความเป็นธรรมกับลัทธิอื่นๆ
ก็ย่อมจะถูกเขากระทำตอบแทนบ้าง เช่นนี้แล ไม่แน่ ต่อไปอาจจะต้องมี
"ศาลศาสนา"
ไว้คอยพิพากษากรณีพิพาททางศาสนา ว่าด้วยการแต่งงานต่างศาสนา เชื่อเหอะว่า
ยุ่งตายห่า
!
เมียนมาผ่านกฎหมายห้ามแต่งงานข้ามศาสนา
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่
8
ก.ค. ว่า นายฟิล โรเบิร์ตสัน
รองผู้อำนวยการภาคพื้นเอเชียของกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน "ฮิวแมนไรต์วอทช์"
แสดงความกังวลต่อร่างกฎหมายการแต่งงานพิเศษของหญิงชาวพุทธ
ที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
ซึ่งมันถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งมาตรการกีดกันและแบ่งแยก
รวมถึงการจำกัดสิทธิในการนับถือศาสนา ซึ่งนายโรเบิร์ตสันเปรียบเทียบว่า
รัฐบาลเนปิดอว์กำลัง "เล่นกับไฟ"
เนื่องจากการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวอาจกลายเป็นตัวกระตุ้นที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงในอนาคตได้
ร่างกฎหมายดังกล่าว เป็น
1
ใน 4
ฉบับที่รู้จักกันในนามกฎหมายคุ้มครองศาสนาและเผ่าพันธุ์
ซึ่งนักสิทธิมนุษยชนโจมตีว่ามีลักษณะแสดงถึงการแบ่งแยกในสังคม โดยอีก
3
ฉบับได้แก่
กฎหมายว่าด้วยการควบคุมประชากรที่มีการลงมติไปเมื่อเดือน พ.ค.
ระบุให้มารดาต้องทิ้งช่วงระยะเวลาระหว่างการตั้งครรภ์ลูกแต่ละคนเป็นเวลา
3
ปี
ซึ่งรัฐบาลชี้แจงว่ามีเจตนาเพื่อควบคุมประชากร
ถัดมาคือกฎหมายการเปลี่ยนศาสนา ที่บังคับให้ประชาชนเปลี่ยนศาสนาเพื่อใหได้รับการรับรองจากคณะกรรมการขึ้นทะเบียนในท้องที่
และสุดท้ายคือกฎหมายการมีคู่สมรสเพียงคนเดียว
ซึ่งระบุว่าการคบชู้นับเป็นการก่ออาชญากรรม
โดยร่างกฎหมายสองฉบับหลังยังคงอยู่ในขั้นตอนรอมติรับรองจากรัฐสภา
โดยร่างกฎหมายที่ผ่านรัฐสภาแล้ว ยังมีเวลาอีก
14
วันเพื่อรอให้ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง พิจารณาว่าจะลงนามเห็นชอบหรือปฏิเสธ
ข่าว :
เดลินิวส์
10 กรกฎาคม 2558
10 กรกฎาคม 2558
ประเพณีแต่งงานแบบมุสลิม
|
ชาวมุสลิม
(ผู้นับถือศาสนาอิสลาม) ถือว่าการแต่งงาน
หรือเรียกกันตามภาษามุสลิมว่า "พิธีนิกาห"
เป็นความสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิง
เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีความสูงส่งเหนือสัตว์โลกอื่นๆ
และเชื่อว่าความผูกพันระหว่างชายหญิงเป็นความผูกพันกันด้วยชีวิต
เพราะต่างก็เปรียบเหมือนวงกลมที่ถูกแบ่งเป็นสองส่วนและแยกจากกัน แต่
อัลลอฮ สุบหฯ บันดาลให้มาบรรจบกันจนกลายเป็นวงกลมที่สมบูรณ์ ทั้งนี้
หากชายหญิงคู่ใดไม่ปฏิบัติ
ก็ถือว่าผิดต่อหลักศาสนาและจะไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมมุสลิม
สำหรับเรื่องของการแต่งงานหรือประกอบพิธี "นิกาห" นั้น ได้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ... 1. การแต่งงานตามบทบัญญัติของศาสนา 2. การแต่งงานตามประเพณีที่ปฏิบัติกัน ที่ต้องแบ่งเพราะ 2 ประเภท มีความแตกต่างกันอย่างมาก เพราะการแต่งของชาวมุสลิมบางคนผสมผสานวัฒนธรรมชุมชนเข้าไป เช่น การแห่เจ้าสาวเข้ามัสยิดโดยมีต้นกล้วยต้นอ้อยนำหน้าขบวน หรือการมีขนมหวานอย่างการแต่งงานแบบไทยนั้น เป็นการแต่งงานแบบของมุสลิมที่ไม่ใช่อิสลาม เพราะการแต่งงานแบบอิสลามนั้นเป็นบทบัญญัติมากกว่า 1,400 ปี และห้ามเสริมเติมแต่งหลักการที่มีอยู่เป็นอย่างอื่น หลักการแต่งงานของอิสลามมีเงื่อนไขหลักอยู่ 5 ข้อปฏิบัติ ซึ่งถ้าชายหญิงปฏิบัติเพียง 5 ข้อนี้ได้ ก็จะได้ชื่อว่าได้แต่งงานกันอย่างถูกต้อง เป็นสามีภรรยาตามหลักของอิสลามแล้ว ส่วนการจดทะเบียนสมรสนั้นเป็นเรื่องของสังคมและกฎหมายที่เข้ามาเป็นองค์ประกอบเท่านั้น
เงื่อนไขหลัก
5
ข้อปฏิบัติ คือ...
1. ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวต้องเป็นมุสลิม 2. "วะลีย์" (ผู้ปกครองของเจ้าสาว) ซึ่งต้องเป็นผู้ปกครองทางด้านเชื้อสายและเป็นผู้ที่ไม่สามารถแต่งงานกับเจ้าสาวได้ หมายถึงคุณพ่อของเจ้าสาว พี่ชายแท้ๆ ญาติสนิทแท้ๆ 3. พยาน 2 คน ต้องเป็นผู้ชายที่มีคุณธรรม คือเป็นผู้ที่เคร่งศาสนา เช่น ผู้ที่ทำละหมาดวันละ 5 ครั้ง 4. คำเสนอของ "วะลีย์" และคำสนองของเจ้าบ่าว 5. เจ้าบ่าวจะต้องมอบสินสอดให้แก่พ่อแม่ฝ่ายหญิง คำสอนก่อนแต่งงาน ก่อนทำพิธีนิกาห โต๊ะครู อาจารย์ บาบอ อุซตาซ ซึ่งเป็นชื่อเรียกผู้รู้ตามหลักศาสนาอิสลามที่แตกต่างกันไปตามพื้นที่ สถานที่ จะเป็นผู้ที่ทำพิธีนิกะหให้ ในหลักการของศาสนาอิสลามไม่ได้ระบุชัดเจนว่าต้องทำที่ไหน ใครสะดวกที่ไหนก็ทำที่นั่น ข้อห้าม สิ่งที่อิสลามห้ามใครทำและเป็นโทษมหันต์ คือ การเชื่อถือโชคลาง เพราะเป็นเรื่องผิดหลักศาสนาอย่างไม่ควรให้อภัย คนอิสลามจะแต่งงานกันเมื่อไรก็ได้ ยิ่งแต่งงานกันในวันที่คนอื่นไม่แต่งยิ่งดีเพราะเป็นการพิสูจน์ว่าเราไม่เชื่อเรื่องฤกษ์ยาม อีกประการหนึ่งที่ชาวมุสลิมบางพื้นที่อาจลืมก็คือ การแต่งงานของอิสลามจะไม่มีการแห่ใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าเห็นมุสลิมแต่งงานแล้วมีการแห่ นั่นคือการแต่งงานของมุสลิมที่ไม่ใช้อิสลาม รักกันแต่ต่างศาสนา อิสลามไม่อนุญาตให้คู่รักต่างศาสนาแต่งงานกัน แต่ถ้ารักกันจริงๆ ต้องเข้าไปเป็นอิสลามก่อน โดยการเรียนรู้ศาสนาให้เข้าใจถึงหลักของอิสลามโดยถ่องแท้จากผู้รู้ เพราะไม่อย่างนั้นจะไม่เข้าสู่เงื่อนไข 5 ข้อของการแต่งงานตามหลักอิสลาม และถ้าเจ้าสาวนับถือศาสนาอื่นก่อนมารับถือศาสนาอิสลาม หรือคนในครอบครัวยังคงนับถือศาสนาเดิมอยู่ ก่อนการแต่งงานจะต้องแต่งตั้งผู้อื่นให้ทำหน้าที่ผู้ปกครองแทน ผู้แทนอาจเป็นครูที่สอนศาสนาให้ก็ได้ หรือเป็นผู้รู้ที่เคารพนับถือก็ได้
ที่มา
:
กระปุก ดอทคอม
|