ปัญหาหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ว่าด้วยการทำลายพระพุทธรูป ณ หุบเขาบามิยัน

ข่าวการยิงทำลายพระพุทธรูปยืน ณ หุบเขาบามิยัน ของรัฐบาลอิสลาม ประเทศอัฟกานิสถาน เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก นานาชาติทั้งต่างอ้อนวอนเรียกร้องและประท้วง ขอและให้รัฐบาลอิสลามตาลีบัน ได้ยุติพฤติกรรมอันน่าหดหู่เช่นนั้นเสีย แต่รัฐบาลอิสลามอ้างว่า “พระพุทธรูป ๒ องค์ดังกล่าว ดำรงอยู่ประหนึ่งว่าดูหมิ่นถิ่นอิสลาม และขัดกับหลักคำสอนของพระอ้าหล่า ที่ว่ามิให้อิสลามิกชนสรรเสริญและเคารพรูปปั้นไม่ว่าของผู้ใดในโลก” สิ่งเหล่านี้มีข้อวินิจฉัยที่ยังไม่แจ่มชัด ไม่เคลียร์ วัดไทย ลาสเวกัส ในฐานะทูตแห่งธรรม จึงขอนำเสนอประเด็นต่างๆ มาเพื่อความเข้าใจแจ่มแจ้งของพุทธศาสนิกชนผู้สนใจ ดังต่อไปนี้
     ก่อนอื่น เราต้องนำเอาคำกล่าวอ้างเพื่อทำลายพระพุทธรูปโบราณ ๒ องค์ดังกล่าว ของรัฐบาลอิสลาม กลุ่มตาลีบัน ประเทศอัฟกานิสถานมาเป็นหลักในการวินิจฉัย รัฐบาลตาลีบันอ้างคำสอนของพระอ้าหล้าว่า “เมื่อผู้ใดเป็นมุสลิม ก็คือเป็นผู้นอบน้อมต่ออัลลอฮฺ (ซุป ฮานะ ฮูวะ ตะ อาลา) เพียงองค์เดียว ไม่จำเป็นที่ผู้นั้นจะต้องไปแสวงหาที่พึ่งอื่น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีอยู่ในจักรวาล อย่างพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดารา ภูเขา แม่น้ำ ก้อนหิน ต้นไม่ จอมปลวก เป็นต้น แม้แต่สิ่งต่างๆ ที่มนุษย์สรรค์สร้างขึ้นเอง เช่น รูปปั้น รูปภาพ ผ้ายันต์ หรือแม้แต่ไอ้ขิก” อันสุดท้ายนี้ว่าตามสำนวนนายนิติภูมิ นวรัตน์ ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ที่ผู้เขียนเป็นแฟนประจำ
     พวกตาลีบันนำเอาบทบัญญัติอันนี้มาอ่าน แล้วก็อ้างว่า “พระพุทธรูปหินแกะสลักที่หุบเขาบามิยัน เป็นประดิษฐกรรมฝีมือมนุษย์ จึงควรแก่การทุบทำลาย เพื่อจะได้ไม่ต้องแสดงความเคารพ” เห็นไหมท่านผู้อ่าน มันเริ่มอันธพาลก็ตรงนี้แหละ ทำเป็นเหมือนว่ามีใครไปบังคับให้กราบไหว้ เมื่อเราจะพูดถึงประเด็นเหลวไหลของตาลีบันนี้ ก็ต้องเอาหลักการแหละเหตุผลต่างๆ มาชี้ว่าที่พวกนายทำลงไปน่ะเหมาะสมหรือไม่อย่างใด ขอเริ่มต้นที่จุดกำเนิดของอิสลาม
     ศาสนาอิสลาม ถือกำเนิดในประเทศอาหรับ ศาสดาคือพระมะหะหมัด แปลว่า พระผู้ซึ่งได้รับคำสดุดี เป็นนามที่สาวก ช่วยกันขนานให้ ภายหลังจากได้เผยแผ่ศาสนาอิสลามแล้ว แต่เดิมนั้นพระมะหะหมัดมีชื่อจริงว่า อุบุลกัสเสม
     อุบุลกัสเสม ถือกำเนิดในวรรณะพราหมณ์ นามสกุลโกไรอิช ซึ่งเป็นเพียงสาขาของวรรณะที่ถูกกีดกัน พ่อแม่เป็นคนต้อยต่ำ ปีเกิดของอุบุลกัสเสมคือพุทธศักราช ๑๑๑๓

     บิดาเสียชีวิตแต่อุบุลกัสเสมยังเยาว์วัย ทั้งญาติก็ยากจน อุบุลกัสเสมจึงยึดอาชีพเป็นคนขับรถสองแถว เอ๊ย ขับขี่อูฐซึ่งเป็นพาหนะดีที่สุดในย่านทะเลทราย ไปในกองคาราวานสินค้า ท่านว่าแกอาจจะได้ไปส่งผู้โดยสารถึงประเทศซีเรียหรืออียิปต์ด้วย อุบุลกัสเสมจึงไม่ได้รับการศึกษาเล่าเรียนอะไร เผลอๆ จะอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ด้วยซ้ำ
     “คนงามให้เอาไว้เป็นชู้ คนขี้อู้ (พูดเก่ง) เอาไว้เป็นคู่เดินทาง” คำกล่าวนี้ฉันใด ในกองคาราวานของอุบุลกัสเสมก็ฉันนั้น มีคนขี้อู้จำนวนมาก ช่วยกันเล่านิทานกันเหงาหรือเพื่อฆ่าเวลา อาศัยว่าความจำดี ถึงจะอ่านหนังสือไม่เป็น อุบุลกัสเสมจึงบันทึกเรื่องเล่าเอาไว้ในสมองเป็นจำนวนมาก เหมือนๆ กับชีวิตของน้ำผึ้ง หรือพุ่มพวง ดวงจันทร์ ที่อ่านหนังสือไม่ออกแม้แต่ตัวเดียว แต่ว่ามีความจำเป็นเลิศ สามารถจดจำเนื้อร้อง ที่ได้ยินจากคนอื่นพูดให้ฟังเพียงครั้งเดียว

     ในพวกนิยายที่อุบุลกัสเสมได้ฟังบ่อยๆ นั้น ก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับศาสนา หรือว่านักบวชต่างๆ อยู่ด้วย ซึ่งนิทานทางศาสนายุคดึกดำบรรพ์ก่อนนั้น ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของอิทธิปาฏิหาริย์ไปได้ ปรากฏว่าแกเกิดความสนใจใฝ่รู้ ถึงกับปลีกตัวออกไป อยู่โดดเดี่ยวไม่พูดไม่จา กริยาอาการก็ซึมเศร้าเหงาหงอย และมีอาการชักดิ้นชักงอบ่อยๆ แพทย์สรุปว่า นายอุบุลกัสเสมเป็นลมบ้าหมู

     อุบุลกัสเสม มีรูปร่างสูงสมสัดส่วน ศีรษะค่อนข้างใหญ่ ไว้หนวดเครายาวดำเป็นมัน ปรากฏว่าเป็นที่ต้องตาต้องใจของแม่หม้ายนางหนึ่ง มีชื่อว่านางกาดิยะๆ มีอายุได้ ๔๐ ปี ขณะที่อุบุลกัสเสมมีวัยได้ ๒๕ ปี แต่อายุก็เป็นเพียงตัวเลข คือไม่สามารถจะขวางกั้นทางใจได้ ปรากฏว่านายอุบุลกัสเสมกับนางกาดิยะได้ตกลงปลงใจอยู่กินเป็นคู่ผัวตัวเมีย จากฐานะที่มั่งคั่งของนางกาดิยะ ทำให้ฐานะนายสารถีขับอูฐของนายอุบุลกัสเสม ถูกยกระดับขึ้น ซึ่งท่านว่านางกาดิยะเองเป็นคนมีสติปัญญาสูงส่ง อาจจะเป็นมูลเหตุให้นายอุบุลกัสเสม ได้แนวทางสร้างศาสนาอิสลามขึ้นมาในภายหลังก็เป็นได้ และนางก็ฉลาดจริงๆ คือสามารถมัดใจนายอุบุลกัสเสมไว้ได้ ตราบถึงวันสุดท้ายแห่งลมหายใจ อุบุลกัสเสมจึงกลายเป็นคหบดี ผู้มั่งคั่งแห่งเมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอารเบียในปัจจุบัน ซึ่งสมัยนั้นเรียกแต่เพียงว่าประเทศอาหรับ

     มีเหย้ามีเรือนแล้ว อุบุลกัสเสมคงจะมีความสะดวกสบายไม่ต้องวิ่งค้าวิ่งขายเหมือนก่อน จึงทำให้มีเวลาว่างมากขึ้น อุบุลกัสเสม เกิดมีอุปนิสัยรักสงบ ได้ปลีกวิเวกหลบตัวเองออกจากสังคมไปอยู่โดดเดี่ยวเป็นพักๆ แกครุ่นคิดถึงปัญหาทางสังคมแห่งเมืองเมกกะเวลานั้น ที่ผู้คนส่วนใหญ่พากันไปไหว้ต้นไม้ใบหญ้า ป่าไม้ภูเขา และผีสางเทวดาต่างๆ อุบุลกัสเสมจึงคิดจะช่วยเหลือชาวเมืองเปลื้องคนให้พ้นจากความเชื่องมงายเหล่านั้นเสีย แกพิจารณาเห็นว่า “เมืองต่างๆ ของอาหรับในเวลานี้ ก็มีเทพเจ้าอยู่ประจำทุกเมือง ยกเว้นแต่เมืองเมกกะ ถ้าไฉน เราพึงอุปโลกน์ตัวเอง ขึ้นเป็นนะบีหรือศาสดากับเขาบ้าง อย่างน้อยก็ขอเป็นผู้ประกาศข่าวช่องสาม เอ๊ย ข่าวพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียว”
     จากนั้นท่านว่า อุบุลกัสเสมได้ปรับเปลี่ยนบุคคลิกเสียใหม่เป็นสดใสซาบซ่า ไม่เอ้ออ้าเหมือนก่อน ออกชักชวนผู้คนชาวเมืองเมกกะให้เลิกนับถือรูปเคารพและผีสางนางไม้เสีย ให้หันมานับถือแต่พระอ้าหล่า ผู้ทรงอำนาจแต่เพียงผู้เดียว อุบุลกัสเสมดำเนินกุสโลบายได้ยอดเยี่ยม แรกๆ ก็เป่าหูเมียของแกให้เห็นดีเห็นงามด้วย แอบอ้างว่า “พระอ้าหล่าได้เสด็จมา ปรากฏพระองค์อันรุ่งเรืองให้ตนเองเห็นในญาณทัศนะ ทั้งทรงแต่งตั้งให้ตนเอง ดำรงตำแหน่งเป็นศาสดาพยากรณ์ นำเอาคำสอนของอ้าหล่า ไปประกาศให้แก่ชนชาวเมืองเมกกะทั้งสิ้น”

     จากนั้นเรื่องราวก็ลุกลามจากปากต่อปาก แต่อุบุลกัสเสมก็ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะว่าคณะผู้ปกครองเมืองเมกกะเวลานั้น ท่านไม่เห็นด้วยกับลัทธิอื่นๆ ขืนประกาศโครมคราม ก็จะเป็นปัญหาเหมือนนายฟาหลุนกง กับรัฐบาลจีนในสมัยนี้ นั่นคือปัญหาทางความมั่นคงทางการเมือง เพราะเรื่องศาสนานี้มีความสามารถ พลิกฟ้าฆ่ากษัตริย์มาแล้วนับไม่ถ้วน
     แต่ความลับก็ไม่มีในโลก คือท่านว่าคณะผู้ปกครองเมืองเมกกะทราบเรื่องเข้า หรืออาจจะมีหนอนบ่อนไส้ ไปบอกแก่เจ้าหน้าที่ก็เป็นได้ แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว เมื่อปรากฏว่ากว่าจะมาทราบ นายอุบุลกัสเสมก็มีศิษย์เป็นจำนวนมากไปแล้ว และเมื่อปิดแล้วก็ปิดไม่อยู่ สู้เปิดให้เห็นจะจะไปเลยไม่ดีกว่าหรือ และนั่นคือการประกาศสงครามกับทางการ

     เริ่มจากคณะผู้ปกครองต่อรองขอให้นายอุบุลกัสเสม เลิกซ่องสุมผู้คน และประกาศคำสอนอันผิดๆ จากจารีตประเพณีเดิมเสีย ไม่งั้นจะดำเนินมาตรการขั้นเด็ดขาด ปรากฏว่านายอุบุลกัสเสมไม่ยอม เมื่อไม่ยอมก็ต้องสู้ แต่การจะสู้กันในดินแดนศักดิ์สิทธิ ชื่อว่าเมกกะนั้นทำไม่ได้ ด้วยมีบัญญัติเป็นข้อตกลงสากลมานมนานว่า “ห้ามมิให้ทำร้ายกัน ถึงเลือดตกยางออก ในบริเวณเมืองเมกกะเด็ดขาด”
     เรื่องนี้เก่าเล่ากันมานานว่า แต่เดิมนั้น ชนชาวเบดูอิน ซึ่งอาศัยอยู่ในแถบทะเลทรายอาหรับ ต่างเผ่าพันธุ์ ต่างก็มีความเชื่ออย่างหยาบๆ เช่นนับถือผีสางเทวดา แม้แต่เครื่องราง หินผา ต้นไม้ และดวงดาว มีอยู่สิ่งหนึ่งซึ่งทุกเผ่า ยอมรับนับถือเสมอหน้า ที่ว่านี้เป็นหินสีดำก้อนหนึ่ง ซึ่งประดิษฐานอยู่ในเทพวิหารขนาดเล็ก เจ้าหินนี้มีลักษณะทรงสี่เหลี่ยม เรียกว่ากาบะ (Kaaba) ปรากฏว่าชาวเบดูอินทุกเผ่า ต่างก็เกรงกลัวหินศักดิ์สิทธิ์ก้อนนี้มาก

     ก่อนหน้าจะมีอิสลาม ก็ปรากฏว่ามีนักบวชอยู่ในเมืองเมกกะแล้ว นักบวชพวกนี้นอกจากจะทำวัตรสวดมนต์แล้ว ก็ยังจัดงานนมัสการหินกาบะประจำปีของเมืองเมกกะอีกด้วย ออกประกาศไปทั่วทุกเผ่าว่า ถ้าใครไม่ได้มานมัสการหินดำกาบะลูกนี้ทุกๆ ปีแล้ว ก็จะไม่ได้ขึ้นสวรรค์ แถมยังจะถูกพระเจ้าลงโทษอีก ชาวเบดูอินจึงนิยมพากันเดินทางไปไหว้หินกาบะเป็นประจำทุกๆ ปี เหมือนงานนมัสการพระพุทธบาทหรือพระเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ของไทยในสมัยก่อนนั่นแหละ มีคติแบบเดียวกันเป๊ะเลย
     จากนั้นท่านว่า มีปัญหาในการเดินทางขึ้น ไม่ใช่ปล้นเครื่องบินหรอกท่าน แต่เป็นปล้นกันกลางทะเลทราย มีการซุ่มฉกชิงวิ่งราวและถึงกับปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์ที่เดินทางไปนมัสการหินกาบะ แต่อิทธิพลของหินก้อนนี้ก็สามารถระงับเภทภัยในการจราจรลงได้ คือท่านว่าพวกนักบวชเหล่านั้นได้เจรจาหัวหน้าเผ่าต่างๆ ให้งดทำร้ายและปล้นทรัพย์ผู้ที่มีศรัทธาเดินทางมานมัสการหินก้อนนี้เสีย อย่างน้อยก็ในระหว่างเทศกาลไหว้หิน ซึ่งจัดขึ้นปีละ ๔ เดือน และขยายผลเป็นประกาศนครเมกกะให้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ห้ามมิให้มีการทำร้ายร่างกายจนถึงเลือดตกยางออกไม่ว่ากรณีใดๆ

     นี่แหละ จึงทำให้นครเมกกะพัฒนาได้ใหญ่โตรวดเร็วล้ำหน้ามหานครไหนๆ ในละแวกนั้น เพราะระยะเวลาตั้ง ๔ เดือนที่ปลอดโจรปล้นรถทัวร์นี้ ชาวบ้านชาวเมืองก็ถือเอาฤกษ์ออกค้าออกขายกันใหญ่ และพระนครที่จะไปก็ต้องเป็นเมกกะ เพราะว่าได้ทั้งบุญได้ทั้งเงิน ถึงเวลานายอุบุลกัสเสมประกาศศักดาท้าทายอำนาจรัฐบาลกรุงเมกกะเข้า ก็มาติดกฎหมายทางสังคมข้อว่า “ห้ามมิให้ทำร้ายร่างกายถึงเลือดออก” นี่แหละ ในโลกเบี้ยวๆ ใบนี้ก็มีอะไรให้ทึ่งใจอย่างนี้แหละท่าน

     "เมื่อฆ่าไม่ได้ ก็ต้องทำอย่างอื่นเพื่อฆ่า" ต่อมาคณะผู้ครองนครเมกกะจึงประกาศอุกเขปนียกรรม ห้ามชาวบ้านชาวเมืองคบค้าสมาคมกับนายอุบุลกัสเสม ซึ่งปัจจุบันได้แจ้งนายทะเบียนอำเภอขอเปลี่ยนชื่อเป็นพระมะหะหมัดไปแล้ว แต่ก็เหมือนโชคเป็นใจอีก เมื่อชาวเมืองมากมายไม่เห็นด้วยกับวิธีการดังกล่าว สุดท้ายคณะผู้ครองนครจึงเห็นว่าเป็นภัยร้ายแรง ประกาศเคอร์ฟิว ส่งกองกำลังรักษาพระนครเข้าควบคุม สามารถต้อนพระมะหะหมัดพร้อมสาวกไปจนมุมที่กำแพงเมืองเมกกะ ถึงตอนนี้ ประวัติศาสตร์ศาสนาอิสลามก็ระบุว่า คณะผู้ปกครองนครเมกกะเวลานั้นเป็นนักบวช ซึ่งคุมวิหารศักดิ์สิทธิ์อยู่
     ถูกปิดล้อมอยู่นานหลายเดือน ถึงเลือดจะไม่ไหล แต่ก็ไม่ไหวแล้ว
จะตายอดตายอยาก ศาสดามะหะหมัดจึงเห็นว่า ขืนอยู่ต่อไปแบบนี้ ก็คงถูกหามไปเผานอกเมืองในไม่ช้าแน่ จึงเห็นแก่ชีวิต ยอมอ่อนข้อให้คณะนักบวช ผู้ครองเมืองเมกกะว่า จะไม่เทศนาสั่งสอนชาวบ้านชาวเมืองแบบผิดๆ อีกต่อไป ขอให้ปลดปล่อยตนเอง และบริวารออกไปเถิด หิวข้าวจะแย่อยู่แล้ว ว่างั้น พวกนักบวชก็กระหยิ่ม นึกว่าเป็นต่อ เลยปล่อยพระมะหะหมัดออกจากวงล้อม แต่ก็เหมือนปล่อยเสือเข้าป่า หรือปล่อยจรเข้ลงน้ำ เพราะท่านเล่าว่า มะหะหมัดหัวหมอ

      คือพี่แกอ้างเอาสนธิสัญญาอดข้าวนั้นมาเป็นเกราะ เพราะข้อห้ามมีว่า “จะไม่ทำการสอนสั่งแก่ชาวเมืองเมกกะ” พี่มะหะหมัดก็เลยตีความตามประสา ทนายว่า “ก็แปลว่าสอนคนเมืองอื่นได้ ไม่ห้าม” ว่าแล้วก็พาบริวาร ออกไปยืนรอรับแขกอยู่ที่ประตูเมืองบ้าง สนามหลวงบ้าง ตลาดหมอชิตบ้าง ซึ่งเป็นที่ชุมนุมของชาวต่างเมือง โดยเฉพาะสี่เดือนในเทศกาลไหว้หินกาบะ ถือว่าเป็นฤดูที่ชาวเมืองเดินทางมามากที่สุด อยู่เมกกะก็คืออยู่กรุงเทพ ฯ ไม่ว่าสายไหนก็มุ่งหน้าไปเมกกะ มะหะหมัดถึงจะถูกห้ามไม่ให้สอนชาวเมืองโดยตรง แต่ก็จะเอาความกับแกไม่ได้ เพราะไม่ได้สอนคนเมืองนี้ และในจำนวนคนที่มาจากต่างเมืองเหล่านั้น ก็มีชาวยิวเป็นจำนวนมากด้วย พวกยิวนั้นท่านว่าทำมาค้าขาย เป็นเผ่าแรกของโลก ไปต่างบ้านต่างเมืองก็เจอศาสนา หลายรูปแบบ ครั้นเดินเข้าตลาดโต้รุ่งกรุงเมกกะ ก็พบกับเจ้านักพรตหนุ่ม หน้าตาดี นั่งขัดตะหมาดเล่านิทานอ้างชื่อพระอ้าหล่าอยู่ดูคล้ายๆ ฉายหนังกลางแปลง
     ด้วยความอยากรู้จึงเข้าไปฟัง และก็ต้องทึ่ง ที่เจ้าหนุ่มคนนี้รู้มาก พูดเก่ง อ้างเรื่องอ้างราวมาปะติดปะต่อกันอย่างมั่วๆ ไม่แพ้อีสปนักเล่านิทานอมตะในยุคนั้น ไม่ว่าเรื่องพุทธศาสนา พระเยซู ไปถึงหลวงพ่อหลวงปู่ต่างๆ มะหะหมัดเล่าได้เป็นคุ้งเป็นแคว แฟนๆ จึงตอมกันตรึม ข่าวพระมะหะหมัดกับศาสดาพยากรณ์จึงขจรขจายไปหลายเมือง ครั้งนั้นมีเมืองหนึ่ง ชื่อว่ายาถริบ เป็นนครคู่แข่งกับเมกกะ อยากจะทำลายเมกกะทุกวิถีทาง
      ผู้ครองนครทราบข่าวว่า มะหะหมัดถูกรังแกใช้ทหารเข้าปิดล้อม เป็นข่าวหน้าหนึ่งมาเป็นปี จึงวางแผนว่า ถ้าได้มะหะหมัดมาร่วมด้วยช่วยกัน เมกกะก็เมกกะเถอะ แตกแบบแอนตาซิลไม่จ่ายแน่ สายลับจากยาถริบถูกส่งนำข้อเสนออันงาม ไปยังเมกกะถึงมือมะหะหมัด กระซิบเบาๆ ว่า “ถ้าว่าพระมะหะหมัด ประสงค์จะประกาศศาสนาให้ยิ่งใหญ่แล้ว ก็ขอเชิญเดินทางไปยังยาถริบ ชาวยาถริบทั้งปวงจะเต็มใจร่วมมือกับพระมะหะหมัด ทำสงครามศาสนา เพื่อให้มีพระอ้าหล่าแต่เพียงพระองค์เดียวในโลก”
      “ส้มหล่น” มะหะหมัดคิด แถมยังเป็นส้มบางมดเสียด้วย ทั้งรสหวานและราคาดี แล้วมีหรือที่มะหะหมัดจะเซย์ “โน” ดังนั้น เมื่อได้ทราบเงื่อนไขจากสปายเมืองยาถริบ มะหะหมัดก็รีบตอบโอเคซิกกะแรตทันทีที่ยังฟังไม่จบ ทีนี้ก็เป็นสงครามสายลับ ๐๐๗ สิท่าน
     คือข่าวเกิดรั่วไปถึงหูนักบวชผู้ครองนครเมกกะเข้า มะหะหมัดจึงถูกตั้งข้อหา “ขายชาติ” ทันที ถึงแม้จะมีบทบัญญัติห้ามมิให้ทำร้ายถึงเลือดออกในนครเมกกะก็ตาม แต่ว่าอำนาจย่อมอยู่เหนือข้อห้ามทั้งปวง “ฆ่าแล้วค่อยล้างบาปทีหลังก็ยังได้” ที่ประชุมนักบวชผู้ครองเมืองเมกกะพลิกแพลงกฎหมาย สุดท้ายก็มีมติให้ “เก็บมะหะหมัด”
      คืนวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ.๑๑๖๕ มะหะหมัดเกือบสิ้นชีพ มีไอ้โม่งจำนวนหนึ่งบุกรุกเข้าเคหสถานในยามวิกาล ปราดเข้าประชิดประตูห้อง ทำลายประตูแล้วก็กรูกันเข้าถึงเตียง พบอะไรบนเตียงไม่ว่าหมอนข้างหมอนอิง พ่อยิง เอ๊ย ฟันไม่เว้น เมื่อจัดการจนแน่ใจว่าเลือดไหลแน่นอนแล้ว มือเพชฌฆาตก็กลับมารายงานสังฆราชแห่งเมืองเมกกะ
แต่ปรากฏต่อมาว่า
     นายมะหะหมัดไปเล่นกลจำแลงร่าง ออกบ้านไปก่อนหน้าเพชรฆาตแล้ว ผู้ที่โดนแทงอยู่บนเตียงนั้น กลับกลายเป็นชื่ออาลี ลูกพี่ลูกน้องของมะหะหมัด พวกเจ้าผู้ครองเมกกะจึงวุ่นวายใหญ่ ส่งอูฐชั้นดีออกติดตามไปทางทิศเหนือ ซึ่งคาดว่ามะหะหมัด ต้องหนีไปเมืองยาถริบ แต่ปรากฏว่าพลาด นายมะหะหมัดรู้ทัน หันหัวอูฐไปทางทิศใต้ มีเพียงอาบูเบกระเป็นเพื่อนติดตามไป มะหะหมัดกับอาบูเบกระ ซุ่มซ่อนตัวอยู่ในถ้ำได้หลายสัปดาห์ จึงมุ่งหน้าออกเดินอ้อมไปทางทิศเหนือ ถึงเมืองยาถริบเมื่อวันศุกร์ ที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ.๑๑๖๕ วันที่มะหะหมัดเดินทางถึงเมืองยาถริบนี้ ชาวเมืองเรียกว่าเฮชิรา ถือเป็นปีเริ่มต้นของศักราชมะหะหมัดอิสลาม และจากนั้น มะหะหมัดก็นำเอาศาสนาไปเป็นการเมือง เนื่องเพราะนักการเมืองชาวเมกกะ เป็นพระเล่นแกก่อน สงครามระหว่างเมกกะกับยาถริบปรากฏว่าเมกกะแพ้ สูญเสียเมืองให้แก่ยาถริบ ศาสดามะหะหมัดจึงกลายเป็นวีรบุรุษผู้พิชิต ฮิตกันถึงขนาดว่า เปลี่ยนชื่อเมืองยาถริบเสียใหม่ เป็นชื่อ “เมดินา” แปลว่า เมืองแห่งศาสดาผู้พยากรณ์
     "เมื่อเป็นผู้ชนะ จะทำอะไรก็ย่อมได้" สำนวนสามก๊กว่าไว้เช่นนี้ มะหะหมัดก็เช่นกัน บัดนี้ชนชาวเมืองเมกกะ พากันอ่อนน้อมหมดสิ้นแล้วเพราะกลัวตาย มะหะหมัดจึงคิดว่า อันการประกาศพระศาสนานี้ หากใช้ลำพังแต่พระธรรมคำสอน ถึงจะอ้างว่าของพระผู้เป็นเจ้าก็ตาม ย่อมสำเร็จได้โดยยาก เผลอๆ จะตายเสียก่อนจะได้เห็นความสำเร็จด้วยซ้ำ ถ้าจะให้สำเร็จก็เห็นจะอาศัยโจทย์เก่าๆ นั่นคือต้องใช้การทหารนำศาสนา ถ้าไม่งั้นไม่มีทางถึงดวงดาวแน่ และจากความคิด อันนี้เอง ทะเลทรายซาฮาร่าจึงร้อนระอุ โรงงานถลุงเหล็ก ทำอาวุธถูกสร้างขึ้นมากมายหลายแห่ง ทุกครัวเรือนถูกสอนให้ท่องแต่คำว่าอ้าหล่าๆ ไม่ต่างไปจากญี่ปุ่น และเยอรมันนี ยุคสงครามโลก ครั้งที่ ๒
     มะหะหมัดประกาศสงคราม กับทุกประเทศที่ไม่ยอมเข้ารีตอิสลาม ส่งกองทัพแยกเป็นสองทาง ไปทางเหนือกับใต้ สายเหนือ มีเมืองไบแซนไตน์และประเทศเปอร์เซีย ส่วนสายใต้ไปทางไหนมั่งไม่รู้ เอาเป็นว่าพระมะหะหมัดประกาศสโลแกนแก่นักรบว่า “การจะแสดงความภักดีต่อพระอ้าหล่าให้ประจักษ์ ก็ต้องมอบกายถวายชีวิตให้แก่พระองค์เสียก่อน ให้ท่องอยู่ในใจ ทุกขณะที่ออกสงครามว่า อ้าหล่าๆ” “ดูกร ถ้าสูท่านช่วยพระอ้าหล่า พระอ้าหล่าก็จะช่วยท่านอย่างแน่นอน” พระมะหะหมัดกล่าว ขณะเดินสวนสนาม สงครามศาสนา แพร่ระบาดไปทั่วตะวันออกกลาง รุกไล่เข้าไปในเอเชียและยุโรป ไม่เฉพาะแต่ประเทศ ในเขตทะเลทรายที่เรียกว่ากลุ่มประเทศอาหรับเท่านั้น อิสลามยังสามารถครอบครอง ประเทศอียิปต์ ปาเลสไตน์ ซีเรย บาบิโลเนียหรือกรีก และเปอร์เซีย (อิหร่าน) ได้อีกด้วย ใช้เวลาเพียงแค่ ๗๕ ปี
      กองทัพอิสลาม สามารถยึดครองดินแดนชายฝั่งตอนเหนือของทวีปแอฟริกาได้หมดสิ้น ล่วงไปจนถึงประเทศสเปนอีกด้วย อีกสิบปีต่อมา อิสลามก็บุกเข้าถึง ภายในประเทศฝรั่งเศส สร้างตำนานสงครามครูเสดอันลือลั่น ที่รบกันเป็นเวลานับร้อยปี ที่กล่าวกันว่าเป็นสงครามศาสนาที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดระหว่างคริสต์กับอิสลาม คร่าชีวิตผู้คนนับล้านๆ

     ประวัติศาสดามะหะหมัด แกมีชีวิตอยู่ไม่กี่ปีหลังจากตีเมกกะได้ ถึงปี พ.ศ.๑๑๗๕ ก็ตาย หลังหนีตายออกจากบ้านมาได้ ๑๐ ปีพอดี มะหะหมัดนั้นตายไปนานแล้ว แต่ว่าสงครามศาสนายังไม่ตาย แถมยังเจริญงอกงามเป็นว่าเล่น เข่นฆ่าผู้คนผู้บริสุทธิ์ หากแต่ไม่ยินยอมพร้อมใจ ที่จะรับเอาพระอ้าหล่าเข้ามาไว้ในใจ จึงถูกควักใจออกมาแกล้มเหล้า ปัจจุบันอิสลามเป็นศาสนาที่มีคนนับถือเป็นอันดับที่ ๒ รองลงมาจากเยซูคริสต์เท่านั้น
     กล่าวถึงอินเดีย ปี ค.ศ. ๑๒๕๐ ที่อิสลามรุกไล่ลงมานั้น พระพุทธศาสนาอยู่ในระยะส่ำระสาย ทั้งภายในภายนอกถูกหนอนบ่อนไชจนไม่เหลือแก่น ลัทธิลามก สัทธรรมปฏิรูป ถูกสร้างขึ้น บดบังพระธรรมคำสอน ที่แท้จริงขององค์สมเด็จ พระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า มีการสร้างพระพุทธรูปกันอย่างแพร่หลาย เกิดลัทธิตันตระ ว่าด้วยการใช้ความกำหนัดลุ่มหลงในเรื่องเพศ เข้ามาประยุกต์ พระสงฆ์องค์เณร หันหน้าเข้าหาไสยศาสตร์ ทรงเจ้าเข้าผี ออกวัตถุมงคลของขลัง ไอ้ขิกอีเป๋อถูกน้ำมาย้อมแมว อ้างว่าเป็นธรรมทายามของพระศาสดา ไม่ต่างไปจากพระพุทธศาสนา นิกายเถรวาทในเมืองไทยสมัยนี้ ครั้นเมื่ออิสลามมาเยือน พระพุทธศาสนาในอินเดียจึงเหลือแต่เพียงชื่อ โดยก่อนหน้านั้น ก็มีการเปลี่ยนศาสดากันแล้ว คือพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ยินยอมให้พราหมณ์ในศาสนาฮินดูยกพระพุทธเจ้าของเราเข้าไปเป็นพระผู้เป็นเจ้าปางหนึ่งในบรรดาพระนารายณ์อวตาร ๑๐ ปาง นับเป็นปางที่ ๙ ชื่อว่า พุทธาวตาร
     สมัคร บุราวาศ กล่าวไว้ในหนังสือปรีชาญาณของสิทธัตถะว่า ภายหลังพระเจ้าอโศกมหาราชได้ ๕๓๔ ปี พระราชาแห่งเมืองปาตลีบุตร ทรงพระนามว่าจันทรคุปต์ ทรงตั้งราชวงศ์คุปตะขึ้นทางลุ่มแม่น้ำคงคา พระองค์ทรงอภิเษกกับพระนางกุมราเทวีแห่งลิจฉวีวงศ์ ทรงประกาศสงครามศาสนากับพวกกุศานะ แล้วโค่นอาณาจักรของพวกนี้ลงได้ พระองค์ทรงดำเนินตามรอยพระเจ้าปุษยมิตรอีกครั้งหนึ่ง
     คือทรงยกย่องลัทธิพราหมณ์ แล้วหันไปยึดลัทธิชาตินิยมกับจักวรรดินิยมเป็นสรณะ ได้เกิดการฟื้นฟูศิลปะและวรรณคดีขึ้นอีก แต่ไม่ได้มีการล้มล้างพระพุทธศาสนารุนแรงอะไร หลวงจีนฟาเหียนซึ่งเดินทางมาจากจีน ได้พบธรรมศาลาและโรงพยาบาลมากมายในอินเดีย พระราชาที่สืบราชสมบัติต่อไปคือสมุทรคุปต์ ผู้ทรงย้ายนครหลวงไปอยู่ที่เมืองอโยธยา
     พระองค์ทรงใฝ่การรุกราน เหมือนพวกอริยันทั้งปวง แต่ก็ทรงสนพระทัยในศิลปะมาก ปรากฏมีรูปสลักในหินใหญ่โตงดงาม ณ ถ้ำอชันตา ซึ่งเทวรูปและพระพุทธรูป ที่สลักไว้เสียโฉมไปบ้าง ระหว่างที่พวกอิสลามมามีอำนาจในอินเดียในภายหลัง

     ราชวงศ์คุปตะครองอินเดียส่วนเหนืออยู่ถึง ๑๕๐ ปี อาณาจักรเริ่มสลายตัว พวกฮั่นหรือหูณจากเอเชียกลางก็มาโจมตีอินเดียตอนเหนือ ได้ทำลายเมืองปาตลีบุตร และปล้นสะดมภ์วัดในพระพุทธศาสนา สังหารชีวิตพระสงฆ์ลงเสียมาก พวกฮั่นปกครองอินเดียอยู่ได้เพียง ๕๐ ปี
     ในศตวรรษที่ ๗ พระเจ้าหรรษวรรธนะก็ทรงขับไล่พวกนี้ออกไปได้ พระองค์ทรงแผ่พระราชอาณาเขต ไปทั่วอินเดียเหนือและอินเดียกลาง ทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา นิกายมหายาน เพราะทรงเห็นว่า กลมกลืนกับศาสนาพราหมณ์ได้ดี ระหว่างนี้พระถังซัมจั๋ง ชาวจีนได้จาริกมาสู่อินเดีย พระเจ้าหรรษวรรธนะ ทรงเป็นกวีและนาฏศิลปิน ในกรุงอุชเชนีนครหลวง ของพระองค์จึงมีพวกศิลปิน และกวีที่มีชื่อเสียงประดับพระราชสำนักมากมาย พระเจ้าหรรษวรรธนะ ทรงสวรรคตในปี ค.ศ. ๖๔๘ เป็นปีเดียวกับที่อิสลาม ได้รุกจากอารเบียนมาสู่เอเชีย แล้วประมาณ ๑,๐๐๐ A.D. พวกอิสลามก็ยึดครองอินเดียได้สำเร็จ แล้วพระพุทธศาสนาก็หมดไปจากอินเดีย
      มีข้อสังเกตว่า อิสลามน่าจะไม่ใช่ผู้ที่ทำลายพระพุทธศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่จากบันทึกของจีนได้กล่าว่า พระพุทธศาสนา ได้เริ่มเสื่อมลงก่อนหน้าที่อิสลาม จะเข้ามาสู่อินเดียแล้ว โดยพระภิกษุสงฆ์ ในพระพุทธศาสนา ได้หันไปศึกษาตำราไสยศาสตร์ และคาถาอาคมเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีผู้ใดสนใจจริงจัง ที่จะศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เกิดลัทธิสัทธรรมปฏิรูปขึ้น จึงในขณะที่อิสลาม ได้เข้ามาสู่อินเดียนั้น พระพุทธศาสนาก็อ่อนล้าเต็มทน แบบไม้ใกล้ฝั่งแล้ว โดนผลักโดนดันเพียงนิดเดียวก็ล้ม คือล่มสลายหายไปจากอินเดีย อันเป็นประเทศแม่ผู้ให้กำเนิดมหาบุรุษแห่งโลก พระนามว่าพระศากยโคดมพุทธเจ้า มันน่าเศร้านะท่าน
      และนี่คือกำเนิดของอิสลาม และความดับสลายของพระพุทธศาสนาในอินเดีย เรามาว่ากันถึงเรื่องพระพุทธรูป ณ หุบเขาบามิยันอีกที เอาง่ายๆ แต่เพียงว่า ศาสนาอิสลามเกิดทีหลังพระพุทธศาสนานับพันปี เอาวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ.๑๑๖๕ ก็หมายความว่า เกิดทีหลังพระพุทธศาสนา ๑๒๑๐ ปี แล้วทีนี้ที่อิสลามออกข้อกำหนดว่า “พระพุทธรูปสำคัญดังกล่าวเป็นดุจแสดงความดูหมิ่นต่ออิสลาม และเป็นการกุศลที่ได้ทำลายลงไป” นั้น ขอถามว่า บ้าหรือเปล่า?
      พระธรรมปิฎก (ปยุทธ์ ปยุตฺโต ป.ธ.๙) กล่าวว่า “อย่างพวกทาลีบันนี้เขาบอกว่า พระพุทธรูปนี้เป็น insult to Islam เป็นการดูถูกต่อศาสนาอิสลาม เขาจะพูดดังนั้นได้อย่างไร เพราะว่าไม่ใช่ว่า เขาเป็นดินแดนอิสลามแล้ว ก็มีใครไปสร้างพระพุทธรูปขึ้นมา แต่ว่าพระพุทธรูปนี้ท่านมีอยู่ก่อนแล้วในดินแดนนี้ ซึ่งแต่ก่อนนี้เป็นดินแดนพระพุทธศาสนา เป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองมาก เกิดขึ้นก่อนศาสนาอิสลามเกิด ศาสนาอิสลามนั้นเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.๑๑๖๕ ก็หมายความว่า พระพุทธรูปนี้เกิดมีขึ้นก่อนศาสนาอิสลามเกิดตั้ง ๒๐๐-๓๐๐ ปี หลังจากศาสนาอิสลาม กองทัพมุสลิมบุกเข้ามา ก็มาทำลาย กลายเป็นว่ากองทัพเหล่านั้นแหละ ที่มาดูถูกมาทำลายท่าน ไม่ใช่ว่าพระพุทธรูป ไปดูถูกอะไรชาวอิสลาม หรอก เป็นเรื่องที่เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะพูด เมื่อเป็นอย่างนี้
     เขาอาจจะอ้างในแง่ศาสนาบัญญัติ คือตัวหลักการที่บอกว่าไม่ให้นับถือ idol รูปเคารพ รูปบูชา หรือเทวรูป ความจริงข้ออ้างนี้ก็ไม่ถูก เพราะว่าเมื่อตนนับถือศาสนาอิสลาม ก็ตัวเองก็ไม่นับถือรูปเคารพบูชาของศาสนาอื่น ก็ไม่เป็นโทษแก่ตนเอง ก็ไม่เป็นบาป เพราะตัวเองก็ปฏิบัติ ตามหลักศาสนาของตัวเอง ก็คือว่าตัวเองเป็นมุสลิม ตัวเองก็ไม่นับถือ แต่ว่าคนอื่นเขานับถือก็เป็นเรื่องของเขา เราก็ไม่ไปยุ่งด้วย ก็เป็นการให้เกียรติแก่กัน และก็เป็นหลักของการอยู่ร่วมกันด้วยดี โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันนี้ จะต้องเน้นเรื่องนี้มาก เพราะว่าโลกนี้มันแคบเข้า แล้วมนุษย์จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไรในเมื่อมนุษย์มีความแตกต่างกัน เช่น ความเชื่อถือทางศาสนา เขาก็ใช้หลักการนี้
     ก็คือว่าตัวเองก็ปฏิบัติ ไปตามหลักของตัวเอง ไม่ไปรุกรานไปทำร้ายผู้อื่น อันนั้นก็เป็นการให้เกียรติแก่กัน หรือแม้แต่ถ้าจะบังคับ คนไหนเป็นมุสลิมก็ไปบังคับได้ เธอเป็นมุสลิมแล้ว เธอต้องปฏิบัติตามศาสนาบัญญัติ เธอต้องไม่นับถือรูปเคารพบูชา ของศาสนาอื่นอย่างนั้นได้ ก็มีสิทธิ์บังคับ ถ้าจะบังคับก็มีสิทธิ์บังคับได้แค่ คนมุสลิมด้วยกัน แต่จะไปบังคับคนศาสนาอื่นไม่ได้ ก็ตัวเอง อย่างที่บอกเมื่อกี้ เมื่อตัวเองไม่นับถือแล้ว ตัวเองก็ไม่มีโทษ เพราะว่าไม่ได้ปฏิบัติผิดศาสนาบัญญัติ”
      มีอีกหลายมุมมอง เช่นว่า ถ้าอิสลามคิดเช่นนั้น แล้วถ้าศาสนาอื่น เขาคิดเช่นเดียวกันบ้าง เช่นบางประเทศที่เคยเป็นดินแดนอิสลามมาก่อน แต่ปัจจุบันหันไปนับถือศาสนาอื่น ก็ย่อมจะมีสิทธิทำลายศาสนสถานของอิสลาม ไม่ว่าสุเหร่า พระคัมภีร์ หรือแม้แต่ออกกฎหมายทำลายศาสนาอิสลาม อย่างนี้ถือว่าชอบธรรมไหม ? ก็นี่แหละครับ คิดลำเอียงเข้าข้างตัวเอง มาอยู่ทีหลังเขา แล้วก็พาลทุบทิ้งทำลายคนเก่า อ้างว่าขัดกับหลักการของตัวเอง สุดท้ายก็บัวแล้งน้ำทั้งสิ้น
      ในมุมกลับ ถามว่าเมื่อเกิดเรื่องนี้ขั้นมา เราชาวพุทธศาสนิกชนได้อะไร ที่เป็นประโยชน์บ้าง หลวงพ่อพระธรรมปิฎกกล่าวว่า “มองกันในแง่หนึ่ง ก็เป็นเรื่องท้าทายทีเดียว ท้าทายความสามารถ สติปัญญาของมนุษย์ ที่จะต้องคิดพิจารณา เอาจริงเอาจัง ไม่ใช่ว่าปล่อยไปเรื่อย มีเหตุการณ์อะไรขึ้นมาทีก็ตื่นเต้นกันที เพราะฉะนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ มาเตือนใจชาวพุทธ การตื่นตัวนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ว่าตื่นตัวแล้วก็ไม่ใช่ว่า มีความโกรธรุนแรงไปแล้วก็จบ ไม่ใช่อย่างนั้น ก็คือการที่ต้องคิดเอาจริงเอาจัง ที่จะนำเอาหลักธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ หรือมาใช้ประยุกต์กับสถานการณ์โลกปัจจุบันว่า จะให้โลกนี้อยู่เป็นสุข ในระยะยาวได้อย่างไร
     ถ้าเราไปมองในแง่ว่าการทำลายครั้งนี้ ทำไมนานาอารยประเทศ จนกระทั่งยูเอ็นเขาจึงได้ออกมาประณาม มีการเรียกร้อง มีการส่งทูตไปเจรจา เอาจริงเอาจังกันมากมาย ก็เพราะว่าเขาเห็นเป็นเรื่องใหญ่ ที่มีความหมายต่ออารยธรรมของมนุษย์” มีมุมมองที่ต้องชี้แจงอยู่ หลายคนคิดว่า “พระพุทธศาสนามิใช่รูปปั้นรูปเคารพ จะทุบทำลายหรือให้มีอยู่ ก็ไม่เกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่ ของพระพุทธศาสนา” อันนี้ผู้เขียน ได้ชี้แจงไว้ในคอลัมน์อื่นแล้ว
      ขออ้างคำสัมภาษณ์ของ พระธรรมปิฎกจากหนังสือมติชนรายสัปดาห์ ฉบันที่ ๑๐๗๕ วันที่ ๒๖ มีนาคม 2544 ที่ผ่านมาว่า “และถ้าว่ากันไปตามหลักพระพุทธศาสนา พระพุทธรูปก็ไม่ใช่ไอดอล อย่างที่เขาบัญญัติไว้ไม่ให้นับถือ เพราะว่าพระพุทธรูปของเรานี้ไม่ใช่เทวรูป ไม่ใช่รูปศักดิ์สิทธิ์แบบที่ศาสนาต่างๆ เขานับถือกัน แต่ว่าเป็น อุทเทสิกเจดีย์ เป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธเจ้า สำหรับเตือนใจให้ระลึกถึง พระพุทธคุณ ระลึกถึงธรรมะ ระลึกถึงความดี เราจะได้มาประพฤติหรือปฏิบัติธรรม หรือนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาดำเนินชีวิต” นี่คือจุดมุ่งหมาย ของการสร้างพระพุทธรูป และเจติยสถานต่างๆ ขึ้นมา มุมมองนี้เป็นมุมมองในแนวไม่สร้างสรรค์ แบบว่าปล่อยโจรครองเมืองนั่นแหละ
     อีกมุมมองหนึ่ง เกี่ยวกับผู้ที่ประท้วง จะเอาเป็นเอาตายให้ได้ อย่างนี้ก็ถือว่าเกินไป เราไปร่วมทำร้ายตาลีบันด้วย ก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา แต่ควรจะนำมาเป็นอนุสสติ เตือนใจชาวไทยทุกคน ที่กำลังมีพระพุทธศาสนาประจำชาติ ในปัจจุบันนี้เสียทีว่า อดีตกาลนั้น พระพุทธศาสนาก็เคยรุ่งเรือง อยู่ในอัฟกานิสถาน แล้วปัจจุบันเกิดเปลี่ยนไป นึกถึงเมืองไทยเราบ้างหรือไม่ ว่าในอนาคตต่อไปจะเป็นเช่นไร อย่าคิดโง่ๆ แต่เพียงว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เกิดได้ก็ดับได้ เจริญได้ก็ร่วงโรยได้” อย่างนี้ถือว่าเป็นความคิดขี้เกียจ อ้างหลักการตะพึด โดยไม่สร้างสรรค์ เพราะแท้ที่จริงแล้ว พระพุทธองค์ตรัสหลักการนี้ไว้ก็จริง แต่ยังตรัสถึงหลักการขั้นต่อไปว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำอย่างไรได้ผลอย่างนั้น” ก็แปลว่า ให้เราชาวพุทธ มุ่งมั่นสร้างสรรค์คุณงามความดี ตามหลักธรรมคำสอน ของพระพุทธองค์กันเถิด เมื่อสร้างเหตุปัจจัยให้เหมาะสมแล้ว ความเจริญรุ่งเรือง ก็จะดำรงคงอยู่ แต่ถ้าหากว่าเราไม่เอาไหน ปล่อยไปแบบไร้ทิศทาง ไม่นานพระพุทธศาสนา ก็จะอยู่ในสภาวะอนิจจังอย่างแน่แท้

     ในแง่ขององค์กรปกครองสงฆ์ และบ้านเมืองที่มีประชาชนยอมรับนับถือ พระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากที่สุด เช่นประเทศไทย ควรหรือไม่ ควรหรือยัง ที่จะได้หันหน้ากลับมาพิจารณาปัญหานี้กันอย่างถ่องแท้ มิใช่คิดแต่เพียงว่า มันเป็นเรื่องไกลตัว อยู่ก็ไกลไปก็ยาก สู้ไปไหว้พระวัดพระแก้วหรือหลวงพ่อโสธรดีกว่า อย่างนี้ก็โง่ โดยเฉพาะการส่งเสริมการก่อสร้างกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน แทนที่จะปลุกระดมในการสร้างเสริมสติปัญญาด้วยการศึกษาเป็นหลักนั้น ควรหรือยังที่จะหยุดความพินาศฉิบหาย ของพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ไทยได้แล้ว
      ในสถานการณ์ที่เห็นและเป็นอยู่ ไม่ว่าพระว่าโยมในเมืองไทย สำนึกกันได้หรือยัง ว่าการงมงายไหลหลงไปกับการก่อสร้างถาวรวัตถุ เช่น เจดีย์ วิหาร โบสถ์ เป็นต้น จนฟุ้งเฟ้อเกินไปน่ะ เป็นอันตรายต่อพระศาสนาโดยตรง เพราะนั่นมิใช่ตัวแท้ ของพระศาสนา แถมยังหาภาระในการบำรุงรักษาอีกด้วย ถ้าตกเป็นของเขา ก็จะมานั่งเศร้าว่าเราถูกเขาทำลายอีกในภายหลัง

      กรณีธรรมกายที่กำลังดังอยู่ในประเทศไทย โหมโรงสร้างมหาธรรมกายเจดีย์ มูลค่านับหมื่นล้านเล่า ยังโง่เง่ากันไม่พออีกหรือ ไม่ต้องกระเหี้ยนกระหือ ไปกวาดประเทศอัฟกานิสถานหรอก เอาแค่แถวๆ คลองสาม ปทุมธานี นี่เอง กวาดไหวไหมล่ะ ที่สำคัญสูงสุดก็คือ การตีความหมายพระนิพพานว่าเป็นอัตตา ของสำนักวัดปากน้ำ และสายธรรมกายทั้งหมด ไม่ว่าวัดพระธรรมกาย ปทุมธานี วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ราชบุรี ที่กำลังเป็นปัญหาขึ้นศาลสงฆ์ในเวลานี้ ขอจี้ไชไปยังท่านผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายว่า ไปถึงไหนแล้วครับ ท่านพระธรรมโมลี (สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ.๙ Ph.D) และคณะกรรมการศาลสงฆ์ที่เคารพ จะต้องให้รอถึง พ.ศ.๕๐๐๐ หรือเปล่าจึงจะค่อยตัดสิน กราบเรียนมหาเถรสมาคมด้วยครับ จะเอาไงแน่ จะซูเอี๋ยให้สมเด็จวัดปากน้ำหรือธรรมกายก็ว่ามา งานพระศาสนา ไม่ใช่เล่นซ่อนหานะขอรับ อย่านับว่าเป็นธรรมยุติหรือมหานิกายสิ ตะทีเรื่องเงินศาสนสมบัติกลางเล่าครับ ยังเห็นดิ้นเป็นเขียดโดนน้ำร้อน ทั้งวัดบวรและวัดมหาธาตุเลย หรือว่าเงินมันไม่เข้าใครออกใคร ส่วนเรื่องพระธรรมวินัยนั้น “ไม่ใช่ของกูคนเดียว” แบบเจ้ากูบางองค์ ท่องก่อนขึ้นธรรมาสน์อยู่เป็นประจำ
      ปิดท้ายข้อเขียนเฉพาะกิจวันนี้จึงขอชี้ว่า ถ้าหากว่ามหาเถรสมาคม แห่งคณะสงฆ์ไทยชุดปัจจุบัน ไม่สามารถหาข้อยุติอันถูกต้องตามพระธรรมวินัยดั้งเดิมในกรณีธรรมกายนี้ได้ ก็เป็นอันว่าหมดสิ้นพระพุทธศาสนาเถรวาท ในเมืองไทยอย่างสิ้นเชิงแล้ว เพราะการสร้างสัทธรรมปฏิรูปว่าด้วยลัทธิเอาพระนิพพานเป็นอัตตาของวัดสายธรรมกายนั้น เป็นการล้มล้างพระพุทธศาสนาในประเทศไทยอย่างถึงรากถึงโคนทีเดียว ไม่ให้เหลือแม้แต่เพียงซาก ถ้าหากมหาเถรสมาคมทำเรื่องนี้ไม่ได้ ก็ป่วยการจะไปพูดเรื่องวิหารเจดีย์แล้วล่ะครับ เพราะถ้าตัดหัวใจออกได้ แขนขาหรืออวัยวะส่วนอื่นจะมีความหมายอันใด จะรักษาหรือไม่ ก็ตายเท่ากัน


พระมหานรินทร์ นรินฺโท
๒๙ มีนาคม ๒๕๔๔

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘