หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ (ตอนที่ ๙)
เรื่อง : พระครูวิเทศสุธรรมญาณ วิ. (สุธรรม สุธมฺโม) และคณะนักวิจัย DIRI
จากวารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๙
เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา
ผู้เขียนและคณะได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมทางวิชาการและร่วมพิธีฉลองการ
เปิดอาคารอเนกประสงค์ของวัดต้าฝอซื่อ ที่เมืองกว่างโจวสาธารณรัฐประชาชนจีน
ซึ่งจัดโดยภาควิชาปรัชญา มหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น ร่วมกับวัดต้าฝอซื่อ
ในการประชุมทางวิชาการนั้น
มีการเสวนาบรรยายธรรมโดยพระมหาเถระคณาจารย์ฝ่ายปกครองรูปสำคัญของสาธารณรัฐ
ประชาชนจีนเพื่อให้ประชาชนเข้าใจคำสอนที่ถูกต้องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและ
สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้จริง ทั้งนี้
กิจกรรมการร่วมฉลองเปิดอาคารอเนกประสงค์ของวัดต้าฝอซื่อ
และกิจกรรมการร่วมประชุมทางวิชาการนี้ ปรากฏว่ามีสาธุชนจำนวนมากหลั่งไหลมาร่วมพิธีกรรมอย่างล้นหลาม และต่างก็มีความปลื้มปีติใจโดยถ้วนหน้ากัน
ในการนี้ ผู้เขียนและคณะมีโอกาสได้พบปะแลกเปลี่ยนทัศนะและประสบการณ์ในการขยายงานพระพุทธศาสนาของ
แต่ละพื้นที่ร่วมกับนักวิชาการระดับนานาชาติมากมาย ผู้เขียนมีความรู้สึกว่า
“มังกรตื่นแล้ว” (มังกร คือ
สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ตื่นตัวขึ้นแล้วด้วยนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและ
วัฒนธรรม ทำให้ชาวพุทธในจีนมีจำนวนมากขึ้น
และทางวัดแต่ละแห่งก็ตั้งใจพัฒนาพระภิกษุสงฆ์ บุคลากร ให้เป็นเนื้อนาบุญ
สืบอายุพระพุทธศาสนาต่อไป) ภาพที่เห็นคือ
การมีนักวิชาการจากนานาประเทศเข้าร่วมประชุมและร่วมสัมมนากันถึงความสำคัญใน
หัวข้อ“เส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางทะเล”ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่าน
มา พบว่าเป็นประเด็นที่นักวิจัยให้ความสนใจทำผลงานทางวิชาการด้านนี้น้อยมาก
อย่างไรก็ดี จากการลงพื้นที่ภาคสนามของทีมงานสถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย
(DIRI) ในครั้งนี้ ทางสถาบัน DIRI
ได้เล็งเห็นถึงทิศทางและทราบถึงข้อมูลการศึกษาวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อการ
สืบค้นหลักฐานคัมภีร์โบราณในดินแดนแถบนี้ รวมทั้งตลอด
“เส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางทะเล” ด้วย
ซึ่งทางทีมงานจะได้ค้นคว้าวิจัยต่อไป
Prof. Lewis Lancaster ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวิจัย
เส้นทางแพรไหมทางทะเล กำลังบรรยายในหัวข้อ
“เส้นทางแพรไหมทางทะเลและประวัติศาสตร์วัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนา”
ผู้เขียนขอเสนอเส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อเนื่องจากฉบับที่แล้ว
ซึ่งเป็นจังหวะที่คณะทำงานได้เข้าร่วมการประชุมทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับ
เรื่องดังกล่าวพอดี
สำหรับเส้นทางการเผยแผ่นั้นใช้เส้นทางการค้าขายเป็นหลัก ดังกล่าวไว้แล้วว่าพระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ทางบกตามเส้นทางแพรไหมไปทางตะวันออกถึงประเทศจีน ส่วนการเผยแผ่ตามเส้นทางค้าขายทางทะเลนั้นพระพุทธศาสนาเผยแผ่ไปถึงอาณาจักรศรีวิชัยและอาณาจักรต่าง ๆ ของสุวรรณภูมิ
อาณาจักรศรีวิชัย1
เป็นมหาอำนาจทางทะเลตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ แผ่อิทธิพลครอบคลุมเกาะชวา
เกาะสุมาตรา ช่องแคบมะละกา ช่องแคบซุนดา รวมไปถึงทางใต้ของประเทศไทย
ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือที่สำคัญมาแต่โบราณ
พระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้ามาจากอินเดียตอนใต้ภายใต้การปกครองของราชวงศ์โจฬะ
และจากเบงกอลภายใต้การปกครองของราชวงศ์ปาละ ซึ่งทั้ง ๒ สาย
ล้วนเป็นพระพุทธศาสนานิกายมหายาน วัชรยาน
อาณาจักรศรีวิชัยได้ส่งพระภิกษุไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยนาลันทา
ส่วนทางเบงกอลก็ได้ส่งพระภิกษุเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนา
และส่งช่างฝีมือเข้ามาสอนศิลปะวิทยาการด้วย
พระราชาทุกพระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะ ทรงบำรุงพุทธศาสนาในทุก ๆ ทาง
พระพุทธศาสนาในอาณาจักรศรีวิชัยจึงเจริญรุ่งเรืองเต็มที่
เผยแผ่ไปทั่วหมู่เกาะอินโดนีเซียและอาณาจักรอื่นๆในเอเชียอาคเนย์
อาณาจักรศรีวิชัยรุ่งเรืองอยู่ประมาณ ๖๐๐ ปี2
ได้พบหลักฐานโบราณคดีทางพระพุทธศาสนามากมาย ทั้งประติมากรรมใหญ่น้อย
พระพิมพ์ดินดิบ ศิลาจารึก รวมถึงพุทธสถานขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เช่น
จันทิ-ส่าหรี3 จันทิกาลาสัน4 จันทิปะวน5 จันทิเมนดุต6 ในเมืองยอกยาการ์ตาของเกาะชวา
จากบันทึกการเดินทางที่มีชื่อเสียงของพระภิกษุจีนอี้จิง7 ใน พ.ศ. ๑๒๑๔8
ท่านได้ออกจากเมืองกว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง
โดยเรือของชาวอาหรับมาถึงเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัยที่ศรีโภคะแล้วพำนัก
อยู่ ๒ เดือน
ก่อนเดินทางไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยนาลันทาขากลับท่านแวะพักที่ศรีวิชัยอีก
ครั้งนานถึง ๖ ปี9 ระหว่างปี พ.ศ. ๑๒๓๒-๑๒๓๘
บันทึกของท่านกล่าวว่า เวลานั้นพระพุทธศาสนาเจริญมากในศรีวิชัย
มีพระสงฆ์กว่าพันรูปในเมืองศรีโภคะล้วนแต่มุ่งมั่นต่อการศึกษาพระธรรมต่าง ๆ
มีวินัยและพิธีกรรมเช่นเดียวกับที่ปฏิบัติกันในอินเดีย
และแนะนำว่าพระสงฆ์จีนควรแวะพักศึกษาเตรียมตัวที่นั่นเสียก่อนสักปีสองปี
จึงค่อยเดินทางไปศึกษาคัมภีร์ดั้งเดิมทางตะวันตกท่านได้บันทึกไว้อีกว่า
พระราชาและผู้นำเกาะ
ต่าง ๆ ในทะเลใต้ล้วนมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา มีจิตมุ่งต่อการสั่งสมบารมี
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า
อาณาจักรศรีวิชัยเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลาช้านานในราว
พุทธศตวรรษที่ ๑๔ ทางฝั่งตะวันออกของอ่าวเบงกอล
ชนชาวพม่าเริ่มมีกำลังเข้มแข็ง รวบรวมกันเป็นปึกแผ่น
สามารถควบคุมเขตลุ่มน้ำเอยาวดี (อิรวดี) และซิตตาวน์ (สะโตง)
รวมถึงเส้นทางการค้าระหว่างจีนกับอินเดีย
และได้สร้างเมืองพุกามขึ้นเป็นศูนย์กลางอาณาจักรพุกาม
ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ในสมัยพระเจ้าอโนรธา10 กษัตริย์แห่งพุกามผู้ทรงพระปรีชา11 ศาสนา
ของอาณาจักรในขณะนั้นเป็นการปนเปของหลักพระพุทธศาสนานิกายมหายานกับการ
นับถืออำ นาจธรรมชาติแบบพื้นเมือง พระองค์ได้นิมนต์พระชินอรหันต์
ซึ่งเดินทางมาจากมอญ อาณาจักรที่รุ่งเรืองด้วยพระพุทธศาสนาเถรวาท
เพื่อแสดงธรรม เมื่อจบธรรมเทศนา พระเจ้าอโนรธาทรงเกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างมาก และทรงยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท ทรงให้ประชาชนเลิกนับถือผีสางเทวดา
ให้หันมานับถือพระพุทธศาสนา
ต่อมาพระองค์ทรงประสงค์จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างไกลออกไปอีก
พระชินอรหันต์จึงแนะนำ
ให้อัญเชิญพระไตรปิฎกและพระบรมสารีริกธาตุจากเมืองสะเทิม (สุธรรมวดี)
มาไว้ที่พุกาม
สมัยนั้น พระเจ้ามนุหา กษัตริย์มอญที่เมืองสะเทิม
ทรงส่งเสริมพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก
เมื่อพระเจ้าอโนรธาทรงส่งพระราชสาส์นพร้อมกับทูตมายังเมืองสะเทิมเพื่อขอพระ
ไตรปิฎกและพระบรมสารีริกธาตุนั้นพระเจ้ามนุหาทรงปฏิเสธ
พระเจ้าอโนรธาจึงทรงยกทัพประชิดเมืองสะเทิม
เมื่อชนะศึกก็ทรงจับพระเจ้ามนุหาเป็นเชลยและอัญเชิญพระไตรปิฎกและพระบรม
สารีริกธาตุกลับไปพุกาม พร้อมกับกวาดต้อนช่างฝีมือต่าง ๆ จากมอญไปด้วย
พุกามจึงได้รับการถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรมและวิทยาการจากมอญเป็นอย่างมาก
พระเจ้าอโนรธาทรงสร้างพระมหาเจดีย์และประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ได้มาไว้ที่พระมหาธาตุเจดีย์ชเวซิกอง
พระองค์ยังทรงมีอุปการะต่อพระพุทธศาสนาในศรีลังกา
โดยทรงส่งกองทัพเข้าช่วยพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๑
กู้อาณาจักรคืนจากพวกโจฬะที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา
พระองค์ยังทรงส่งพระภิกษุออกไปอุปสมบทให้ชาวลังกาและตรวจสอบชำระพระไตรปิฎก
ของพุกามกับพระไตรปิฎกของลังกา
เพื่อความบริสุทธิ์ของพระธรรมคำสอนพุกามได้เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธ
ศาสนา12 ในเวลานั้น
ความมั่งคั่งของอาณาจักรสะท้อนให้เห็นได้ด้วยจำนวนพุทธสถานในเมืองพุกาม
ประมาณ ๕,๐๐๐ แห่งซึ่งยังปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบันนี้
ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ลังกาได้ย้ายเมืองหลวงลงมาอยู่ที่โปลนนารุวะ13
พระเจ้าปรากรมพาหุทรงส่งเสริมพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก
ทรงรวมคณะสงฆ์ที่เคยแยกเป็นคณะต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
พระสงฆ์ในลังกามีวินัยเป็นระเบียบเรียบร้อยเคร่งครัดดีขึ้นกว่าแต่ก่อนภาย
ใต้ความเป็นเอกภาพเดียวกัน กิตติศัพท์จึงเลื่องลือขจรไปยังนานาประเทศ
ลังกาได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพระสงฆ์จากอาณาจักรต่าง ๆ
ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เดินทางไปสืบพระพุทธศาสนาที่ลังกา
ทางพม่ามีพระภิกษุมอญชื่อฉปัต ได้ไปอุปสมบทและศึกษาที่ลังกาถึง ๑๐ ปี
เมื่อกลับมาได้ตั้งสำนักเรียนขึ้นที่เมืองพุกามและสร้างพระเจดีย์ที่เรียก
กันว่าเจดีย์ฉปัต14
ตามอย่างเจดีย์ในลังกาสำนักของท่านแยกจากคณะสงฆ์เดิมในพุกามต่อมาในปี พ.ศ.
๑๘๓๑ อาณาจักรพุกามถูกกุบไลข่านจากมองโกลเข้าทำลาย
รวมเวลาที่พุกามรุ่งเรืองอยู่ ๒๔๐ ปี
ส่วนอาณาจักรมอญในสมัยพระเจ้าธรรมเจดีย์ศรีปิฎกธร
ช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ พระสงฆ์ในเมืองมอญได้แตกเป็น ๖ คณะใหญ่
มีความหย่อนยานในวัตรปฏิบัติขาดความเป็นเอกภาพในคณะสงฆ์
พระเจ้าธรรมเจดีย์ศรีปิฎกธรจึงทรงนิมนต์คณาจารย์จาก ๖
คณะใหญ่ไปอุปสมบทใหม่ในลังกา
เพื่อสร้างความเสมอภาคและเป็นปึกแผ่นของสังฆมณฑล พระคณาจารย์ ๒๒ รูป
พระอนุจรอีก ๒๒ รูป รวมเป็น ๔๔ รูป เดินทางไปลังกาเพื่ออุปสมบทใหม่
กษัตริย์ลังกาทรงอุปถัมภ์ด้วยดี
ทรงจัดให้มีการอุปสมบทแก่พระสงฆ์มอญตามประสงค์
เมื่อคณะสงฆ์บวชใหม่กลับเมืองหงสาวดีแล้ว
พระเจ้าธรรมเจดีย์ก็มีพระราชโองการให้พระสงฆ์ทั่วแผ่นดินสึกทั้งหมด
แล้วอุปสมบทใหม่กับคณะสงฆ์ที่บวชจากลังกานั้น
พระสงฆ์คณะใหม่นี้คือคณะกัลยาณี มีพระสงฆ์อุปสมบทกว่า ๑๕,๐๐๐ รูป
ในครั้งนั้นคณะสงฆ์ในเมืองมอญ หงสาวดี จึงกลับมาเป็นปึกแผ่น
ล้วนมีวัตรปฏิบัติตามอย่างคณะมหาวิหารในลังกา
จากข้อมูลข้างต้น
เราจะเห็นได้ว่าการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ล้วนมีประวัติศาสตร์อันยาวนานยิ่ง
อีกทั้งกระบวนการในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็มีความหลากหลาย
นอกจากจะต้องอาศัยพระบารมีของพระมหากษัตริย์ผู้ปกครองในการทรงเป็นอัคร
ศาสนูปถัมภกแล้ว ยังต้องอาศัยการแผ่ขยายทางวัฒนธรรมการศึกษา เศรษฐกิจ
และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางสังคมระหว่างกันของประชาชนด้วยอย่างยาวนาน
เช่นเดียวกับที่ปรากฏในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาบนเส้นทางแพรไหมทางทะเลดังที่
มีนักวิชาการคนสำคัญ ๆ ได้ศึกษาไว้
ฉบับหน้าทางคณะทีมงานจะได้นำเสนอรายละเอียดการศึกษาวิจัย และการเก็บข้อมูลภาคสนามในเมืองกว่างโจวให้ทราบกันต่อไป
1 Srivijaya
2 ประมาณ พ.ศ. ๑๒๐๐-๑๘๐๐
3 Candi Sari (Candi Bendah) Dusun Bendan, Tirtomartani village, Kalasan, Sleman regency, Yogyakarta.
4 Candi Kalasan (Candi Kalibening) Kalasan District of Sleman Regency, Yogyakarta.
5 Candi Pawon (Bajranalan) Yogyakarta, Central Java, Indonesia.
6 Candi Mendut, Mendut village, Mungkid sub-district, Magelang Regency, Central Java, Indonesia
7 義淨 หรือ 义净; pinyin: Yìjìng; Wade–Giles: I Ching ((635 -713 A.D.)
8 671 A.D.
9 689-695 A.D.
10 พ.ศ. ๑๕๘๗-๑๖๒๐
11 หม่องทินอ่อง, หน้า ๓๒
12 หม่องทินอ่อง, หน้า ๓๗
13 Polonnaruva
14 Sapada