อย่าเอาแต่ถือหุ้นโดยไม่รู้ว่าจะขายมันตรงไหน!?

อย่าเอาแต่ถือหุ้นโดยไม่รู้ว่าจะขายมันตรงไหน!?

นักลงทุนหรือเทรดเดอร์ส่วนใหญ่กว่า 90% มักจะขาดทุน เหตุผลของการขาดทุนนั้นไม่ใช่เพราะ พวกเขาเทรดไม่ได้กำไร แต่เป็นเพราะ พวกเขามักจะลุกช้า หรือ พูดง่าย ๆ ก็คือ "ปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุน" และสิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขาเป็นแบบนี้ คือ "ไม่รู้จะขายตรงไหน" กลัวขายไปแล้วมันจะขึ้นต่อก็จะกลายเป็นขายหมู คำถามสำคัญก็คือ อะไรคือสิ่งที่คุณควรคิด และสิ่งที่คุณควรทำหากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นกับคุณ!!

บทความ "อย่าเอาแต่ถือหุ้นโดยไม่รู้ว่าจะขายตรงไหน!?" ที่ผมเขียนนี้จะพานักลงทุนและเทรดเดอร์ทุกท่านไปเรียนรู้แนวคิดที่สำคัญของ "เทรดเดอร์ระดับโลก" กันว่า พวกเขามีแนวคิดเกี่ยวกับตลาดอย่างไร อะไรที่ทำให้พวกเขา "ซื้อและขายหุ้น" ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่แน่นะครับ Market Wizard คนต่อไปอาจเป็นคุณ!! ตามผมมาเลยครับ

อย่าถือเพลินจนกำไรกลายเป็นขาดทุน!! 


นักลงทุนมือใหม่ที่เข้ามาในตลาดตอนแรก ๆ นั้นคิดว่าการซื้อและถือ (Buy & Hold) ไว้เฉย ๆ ก็ทำกำไรได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องศึกษาอะไรให้มากมาย ตั้งแต่ที่ผมเข้ามาในตลาดมาจนเป็นผู้เชี่ยวชาญ ตามนิยามของ กฏ 10,000 ชั่วโมง นั้น ผมแทบไม่เห็นมีใครสอนการขายหุ้นเท่าไรนัก ส่วนใหญ่จะสอนแต่การเข้าซื้อ แต่ทุกท่านทราบไหมครับว่า เทคนิคการขายนั้น เรียกได้ว่า เป็นจุดชี้เป็นชี้ตายในการเอาตัวรอดและทำกำไรในตลาดอย่างยั่งยืนเลยที เดียว!! ไม่เชื่อลองดูภาพด้านล่างดูครับ ถ้าท่านถือเพลิน หรือ ขายไม่เป็น ผลที่ได้จะเป็นยังไง!!?

  


จากภาพจะเห็นว่าแค่เพียงระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี ก็ทำให้ท่านขาดทุนได้ถึง 50% เลยทีเดียว !! คำถามที่นักลงทุนและเทรดเดอร์หลาย ๆ คนคงสงสัยกันก็คือ แค่ 50% เองไม่เห็นจะเยอะเท่าไรเลย จริงอยู่สำหรับบางท่านอาจจะยังไม่เยอะ เพราะ ยังไม่หมดตัว แต่ท่านลืมอะไรไปหรือเปล่าครับ ว่าท่านเข้ามาเล่นหุ้นทำไม ? คำตอบก็คือ ท่านเข้ามาเล่นเพราะ ท่านต้องการมีเงินในพอร์ตเพิ่ม !!! ไม่ใช่ลดลง พูดง่าย ๆ ก็คือ ต้องการรวยนั่นเอง

ลองคิดตามสิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ดูนะครับ 

ท่านซื้อหุ้นไว้ 100 บาท ต่อมาหุ้นวิ่งลงไปจนเหลือเงิน 50 บาท ซึ่งเท่ากับว่าพอร์ตลดลงไป 50% แต่ท่านลองคิดกลับกันดูครับ ตอนนี้ท่านเหลือเงินเพียง 50 บาท หากท่านจะทำให้มันกลับไปที่เดิมท่านต้องทำให้ได้ถึง 100% !!! เลยทีเดียว เรียกได้ว่า เพิ่มเป็น 2 เท่าตัวเลยครับ
ใช่ครับ พอร์ตลด 50% แต่ต้องทำกลับมาถึง 100% สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ มันเกิดจาก ความไม่สมมาตรของผลตอบแทน (Asymmetric Leverage) ซึ่งเป็นธรรมชาติของผลตอบแทน ถ้าท่านไม่ทราบกฏข้อนี้ แล้วปล่อยให้พอร์ตลดลงไปขนาดนั้น การทำให้มันกลับมาที่เดิมนั้นคงต้องเหนื่อยหน่อยนะครับ 
ในส่วนถัดไปผมจะพาไปดูเทคนิคการขายกันครับ ตั้งแต่เทคนิคกันขายแบบ เบสิค ๆ ที่นักลงทุนและเทรดเดอร์มือใหม่มักใช้กัน รวมไปถึงเทคนิคการขายขั้นเทพระดับ Market Wizard ตามมาเลยครับ

เทคนิคการขายหุ้นแบบที่ 1 : การตั้งราคาขายตามใจนั้นดีจริงหรือ!?


นักลงทุนและเทรดเดอร์มือใหม่ส่วนใหญ่ที่เข้ามาในตลาดแรก ๆ นั้น มักจะคาดหวังกำไรจากการเทรดน้อย ๆ ก่อนเสมอ เช่น ได้ปีละ 10-15% ก็พอแล้ว จึงทำให้พวกเขาได้กำไรจากตลาดในตอนแรก นั่นเป็นเพราะ พวกเขายังไม่มีความโลภ เกิดขึ้นในใจ และ อ่านหรือเรียนรู้อะไรมาก็ทำได้ตามแผนที่วางเอาไว้ 
ซึ่งนักลงทุนและเทรดเดอร์มือใหม่ส่วนใหญ่จะตั้งจุดกำไรไม่มากนัก ส่วนใหญ่ที่ผมพบ คือ อยู่ในช่วง 5-10% ต่อการเทรด 1 ครั้ง แต่หลังจากที่ขายไปไม่นาน หุ้นกลับวิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ผลคือ เกิดการ "ขายหมูตัวเบ้อเร่อ" พวกเขาจึงเรียนรู้ที่จะถือให้นานขึ้น และคาดหวังกำไรที่มากขึ้นจากเดิม ผลก็คือ การเทรดครั้งต่อ ๆ ไปของพวกเขาแย่ลง และ ขาดทุนมากขึ้น!! 
เราลองมาดูภาพด้านบนกัน จะเห็นว่าในภาพผมใช้เทคนิคการเข้าซื้อที่ง่ายที่สุด ที่นักลงทุนและเทรดเดอร์มือใหม่ทุกคนต้องรู้จัก นั้นก็คือ การตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ นั้นเอง ในภาพ ผมใช้เส้น EMA 5 กับ EMA 10 เป็นการให้สัญญาณ จะเห็นว่า พอเราขายปุ๊บ หุ้นไม่วิ่งกลับมาอีกเลย แถมวิ่งฝุ่นตลบไปอย่างหน้าตาเฉย สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ การตั้งจุดขายทำกำไรนั้น ประเด็น ไม่ได้อยู่ที่ตามใจคุณ แต่ต้องตามใจตลาดครับ!!

เทคนิคการขายหุ้นแบบที่ 2 : ซื้อขายตามสัญญาณทางเทคนิคดีจริงหรือ!?


เทคนิคถัดมาเป็นการขายตามสัญญาณ indicator ซึ่งในที่นี้ผมนำตัวอย่างสัญญาณซื้อ-ขายจาก Stochastic Oscillator ซึ่งเป็น indicator ยอดฮิตตัวหนึ่งที่นักลงทุนและเทรดเดอร์มือใหม่นิยมใช้กัน จากภาพจะเห็นว่า ขายหมูตัวเบ้อเร่อเช่นกัน !! 
คำถามก็คือ คุณทำอะไรผิด!? คุณก็ขายตามสัญญาณทางเทคนิคแล้วนี่นา สาเหตุในข้อนี้คือ การทำความเข้าใจใน indicator ครับ ในแนวโน้มขาขึ้นเนี่ยเจ้า indicator ประเภท Oscillator นั้นจะให้สัญญาณขายหลอกได้ง่ายมาก ซึ่งข้อนี้เป็นธรรมชาติของ indicator ประเภทนี้อยู่แล้วครับ 
สำหรับ 2 ตัวอย่างที่ผมให้ไปนั้น ทุก ๆ ท่านคงจะทราบแล้วว่า เทคนิคการขายนั้น มีหลายแบบ ซึ่งแต่ละเทคนิคนั้น ก็ให้ข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกทุกท่านเกี่ยวกับเรื่องผลตอบแทนที่จะได้รับ นั่นก็คือ "คุณไม่ได้มีหน้าที่กำหนดผลตอบแทนที่คุณจะได้รับ ตลาดต่างหากที่เป็นตัวกำหนด อย่าเข้าใจผิด!! หน้าที่ของคุณก็คือ การหาจังหวะเข้าและออกที่สมเหตุสมผลตามการเคลื่อนไหวของตลาด เท่านั้น!!"

เทคนิคการขายหุ้นขั้นเทพระดับ Market Wizard


"การวางเดิมพันให้น้อยกว่า 5% ของเงินทั้งหมด จะทำให้คุณผิดพลาดได้มากถึง 20 ครั้ง และที่สำคัญอีกอย่างคือ คุณต้องมีจุดตัดขาดทุนเสมอ เพราะ มันจะบังคับให้คุณต้องออกมาในจุด ๆ หนึ่งที่แน่นอน ซึ่งควรตั้งไว้ ก่อนที่จะเข้าไป" ไมเคิล มาร์คัส 

"กฏที่สำคัญที่สุด คือ การถือสถานะที่กำไรเอาไว้และการตัดขาดทุน ทั้ง 2 นี้มีความสำคัญพอ ๆ กัน ซึ่งถ้าคุณไม่อยู่ในสถานการณ์ การเทรดที่ได้กำไรให้นานพอ คุณก็จะไม่มีเงินมาจ่ายเมื่อคุณขาดทุน" ไมเคิล มาร์คัส

"ความเสี่ยงเป็นกุญแจสำคัญ สู่ความสำเร็จในการเทรด คุณต้องประเมินความเสี่ยงโดยรวมของทั้งพอร์ตโฟลิโอ มากกว่าจะมองความเสี่ยงของแต่ละการเทรดแยกกันไป" บรูซ โคฟเนอร์


"ไอ้โง่เอ๊ย!? ทำไมต้องเสี่ยงทุกอย่างลงไปในการเทรดเพียงครั้งเดียวด้วยนะ ทำไมไม่ทำชีวิตของนายให้เป็นการตามหาความสุข แทนที่จะเป็นการตามหาความเจ็บปวดด้วยล่ะ" พอล ทูเดอร์ โจนส์ (Market Wizard ท่านนี้เขาบอกกับตัวเองนะครับ ไม่ได้ว่าใคร)


"สิ่งที่ผมสนใจไม่ใช่ตลาด แต่เป็น ความเสี่ยง, ผลตอบแทน และ เงิน" แลรี่ ไฮท์ 
จาก Quotes ของ Market Wizard ทั้ง 4 ท่าน นักลงทุนพอจะทราบกันไหมครับว่า พวกเขาเหล่านั้น หมายถึงอะไร แล้วเกี่ยวอะไรกับบทความที่ผมเขียนนี้ ? ถ้ายังไม่ทราบไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ทุกท่านได้ฟังกัน

สิ่งหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน ก็คือ บรรดา Market Wizard นั้นไม่ได้มองตลาดเหมือนอย่างเรา ๆ มองกัน แต่พวกเขามองกันที่ "ผลตอบแทนต่อความเสี่ยง" หรือที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า "Risk : Reward" นั่นเอง!!

ผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Risk : Reward) หน้าตามันเป็นยังไง


 จากภาพ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า Risk คือ ระยะห่างระหว่างจุดเข้า (Entry) กับ จุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อครั้ง ที่คุณยอมรับที่จะขาดทุน หากตลาดไม่เป็นอย่างที่คุณคิด และ Reward ก็คือ ระยะห่างระหว่าง จุดขาย (Exit) กับ จุดเข้า (Entry) เป็นกำไรที่คุณจะได้รับ หากตลาดวิ่งไปถูกทางกับที่คุณเข้า นั่นเอง

เทรดเดอร์ต้องมีอะไรบ้างถ้าอยากใช้เทคนิค Risk : Reward ในการเทรด


ถึงแม้ในภาพจะดูเหมือนง่ายไม่มีอะไรในการใช้ Risk : Reward ในการเทรด แต่การจะเทรดแบบนั้นได้ จริง ๆ แล้วหลัก ๆ เทรดเดอร์ต้องมีอะไรบ้าง
  • เทคนิคและกลยุทธ์การเทรดที่ชำนาญ (Master Your Strategy)
  • จุดเข้า (Entry) จุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และจุดออก (Exit) ที่ทราบล่วงหน้า
  • การวางแผนการเทรดเอาไว้ล่วงหน้าอย่างรัดกุม (Trading Plan) ก่อนการเข้าซื้อทุกครั้ง 
ถ้าเทรดเดอร์คนไหนมีองค์ประกอบครบทั้ง 3 ข้อ นี้แล้ว และสามารถประยุกต์ใช้หลักการดังกล่าวในการเทรดแบบ Risk : Reward ได้จะทำให้การมองภาพในตลาดของคุณนั้นต่างไปจากเดิมอย่างมากเลยทีเดียว ไม่แน่นะครับ Market Wizard คนถัดไปอาจเป็นคุณ!!! 

สรุป

สำหรับในบทความ "อย่าเอาแต่ถือหุ้นโดยไม่รู้ว่าจะขายมันตรงไหน!?" นี้อาจจะเป็นบทความที่ยาวสักหน่อย แต่ขอบอกได้เลยว่า ผมตั้งใจเขียนให้ผู้อ่านที่ติดตาม Investmentory ทุกท่านครับ ในบทความนี้ตั้งใจจะมาพูดถึงเทคนิคการขายแบบ Professional Trader ซึ่งถ้าหากสรุปออกมาคร่าว ๆ ผมได้พูดถึง 
  • อย่าถือเพลินจนกำไรกลายเป็นขาดทุน!! 
  • เทคนิคการขายหุ้นแบบที่ 1 : การตั้งราคาขายตามใจนั้นดีจริงหรือ!?
  • เทคนิคการขายหุ้นแบบที่ 2 : ซื้อขายตามสัญญาณทางเทคนิคดีจริงหรือ!?
  • เทคนิคการขายหุ้นขั้นเทพระดับ Market Wizard
  • ผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Risk : Reward) หน้าตามันเป็นยังไง
  • เทรดเดอร์ต้องมีอะไรบ้างถ้าอยากใช้เทคนิค Risk : Reward ในการเทรด

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘