บทพิสูจน์ เรื่องพระสะสมวัตถุ ย่อมแสดงว่าโลภ ชื่อว่าทำให้ศาสนาเสื่อม
ปัจจุบันมีเรื่องข่าวคราวออกสื่อต่างๆ เกี่ยวกับพระภิกษุว่า สะสมวัตถุ แสดงว่า ไม่รู้จัก ลด ละ เลิก กิเลส พระที่ดี ต้องอยู่ป่า หรือไม่มีการสะสมวัตถุ มีแต่วัตถุโทรมๆ รายรอบอยู่ข้างกายท่าน นั่นจึงจะเรียกว่า พระดีน่านับถือ แต่ถ้าพระรูปแบบอื่นๆ เช่น พระวัดพระธรรมกาย พระในเมือง สร้างศาสนวัตถุ มียศมีตำแหน่งนั้น ฯลฯ จัดว่าเป็นพระที่สะสม แสดงว่าโลภ ย่อมไม่น่านับถือทั้งสิ้น ไม่ว่ากรณีใดๆ
ผมเองเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ และชอบหลักการของวิทยาศาสตร์ ที่ว่า ก่อนจะเชื่อถือสิ่งใด ต้องพิสูจน์ เรื่องราวเหล่านั้น ให้ถ่องแท้เสียก่อน ดังนั้นเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมจึงอยากพิสูจน์ก่อนว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก ที่มีเนื้อหาถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ หรือภาษาชาวบ้าน คือ 84,000 เรื่อง นั่นแหละครับว่า พระ ไตรปิฏกให้การยกย่องพระภิกษุที่มักน้อย อยู่ป่า รับสิ่งของใดๆ ก็รับเฉพาะที่เพียงพอใช้งานเท่านั้น และไม่ยกย่องนับถือพระภิกษุที่ใครถวายอะไรก็รับ สะสมวัตถุสิ่งของต่างๆ จริงหรือไม่
และแล้วผมก็ไปพบเจอเรื่องราวในพระไตรปิฎกว่า ในขณะที่พระภิกษุรูปรูปอื่นๆ ใครถวายจีวร ท่านก็รับไว้เพียงแค่พอใช้งานเท่านั้น แต่พระอานนท์นั้น ใครถวายจีวรเท่าไหร่ ท่านรับไว้หมด ครั้งหนึ่งมีสาธุชนฝ่ายหญิงจากพระราชวังกลุ่มหนึ่ง ได้ฟังธรรมจากพระอานนท์ แล้วบังเกิดความเลื่อมใส จึงพากันถวายจีวร ซึ่งผืนหนึ่งมูลค่าถึง 500 เป็นจำนวนมากถึง 500 ผืน แล้วเดินทางกลับพระราชวัง
พระราชา เห็นหญิงเหล่านั้น ไม่มีผ้าเหลือไว้ในมือสักผืนเลย นั่นแสดงว่า ถวายหมดเลย จึงทรงตรัสถามหญิงเหล่านั้นว่า "ผ้าจีวรที่เหลืออยู่ที่ไหนล่ะ" นั่นคือ พระราชาเข้าใจว่า ผ้ามีตั้ง 500 ผืน ถวายไปส่วนหนึ่งก็ย่อมมีผ้าเหลืออยู่ แต่นี่กลับไม่เหลือเลย แสดงว่าเกิดเหตุใดขึ้นหรือเปล่า
หญิงเหล่านั้น ทูลว่า "ถวายพระอานนท์ หมดทุกผืนเลย เพคะ"
พระราชายังตรัสถามเพื่อให่แน่ใจว่า "แล้วพระอานนท์ รับหมดทุกผืนเลยหรือเปล่า"
หญิงเหล่านั้น ทูลว่า "เพคะ รับหมดเลย"
พระราชาได้ฟังเช่นนั้น ก็เสด็จไปยังที่พักของพระอานนท์ทันที เสด็จไปเลยอย่างนี้ แสดงว่าไม่พอใจแน่นอน แต่เมื่อไปถึง พระราชาก็แสดงถึงความเป็นผู้นำที่เปี่ยมวิสัยทัศน์ ต้องไม่ฟังความข้างเดียว โดยให้โอกาสพระอานนท์ด้วยการถามย้ำอีกครั้งว่า จริงหรือไม่ ที่พระอานนท์นั้น รับจีวรที่ถวายมา ทั้ง 500 ผืนไว้หมดเลย
ครั้นพระอานนท์ บอกว่า จริง พระราชาหมดข้อสงสัยอีกต่อไป พระอานนท์ทำไมทำแบบนี้ จึงถามพระอานนท์เลยว่า ผ้าจีวรตั้ง 500 ผืน รับไว้ทั้งหมดเลย นี่มันไม่มากเกินไปหรือ
พระอานนท์ท่านจึงอธิบายว่า ท่านรับผ้าไว้ เพียงแค่พอใช้งาน แล้วส่วนที่เหลือ จะถวายแด่พระภิกษุทั้งหลายที่มีจีวรเก่า พระราชา ยังไม่พอใจ ถามต่อว่า แล้วจีวรเก่า จะไปทำอะไร พระอานนท์ ก็อธิบายว่า ก็นำไปถวายพระที่มีจีวรเก่ากว่านั้นอีก
พระราชาก็ ยังซักถามต่อไปว่า เก่ากว่านั้น เอาไปทำอะไร พระอานน์ ก็อธิบายต่อว่า นำไปทำผ้าปูที่นอน ผ้าปูพื้น ผ้าเช็ดเท้า ไปจนถึง นำไปโขลกให้ละเอียด แล้วผสมดินเหนียว ฉาบทาฝาผนังที่พัก พอพระราชาได้ฟังถึงตอนนี้ ทรงเกิดความเลื่อมใสยิ่งนัก ถวายเพิ่มอีก ถึงแสนผืน เลยทีเดียว
อ่านเรื่องนี้แล้วได้ข้อคิดว่า พระที่ท่านรับจีวร และปัจจัยต่างๆไว้แต่เพียงพอใช้งาน ก็น่ายกย่อง ส่วนพระที่ท่านรับไว้เกินกว่าที่ท่านจะใช้งาน ก็อย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสินว่าท่านสะสมวัตถุสิ่งของมากเกินไป
ดัง เช่นที่พระราชา แสดงวิสัยทัศน์ ที่ตรงกับหลักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบัน คือ แทนที่เมื่อได้ทราบข่าวว่า พระอานนท์ รับจีวร 500 ผืน ไว้ทั้งหมด ก็รีบด่วน สรุป แล้วให้ มหาดเล็ก ไปตีฆ้องร้องเปล่า ให้ชนชาวเมืองทราบว่า เจ้าข้าเอ๊ย พระอานนท์พุทธอุปัฏจาก ชอบสะสมวัตถุ แสดงว่า มีแต่กิเลส ความโลภ อย่างนี้ศาสนาเสื่อมแน่นอน สมัยนี้ ก็เรียกว่า ออกสื่อ ชี้นำ นั้นเอง
แต่เปล่า พระราชา ไม่ได้ทำแบบนั้น แต่ที่ทรงทำ คือ เสด็จไปซักถามพูดคุยกับพระอานนท์ให้รู้เรื่อง ตรงนี้ ถือเป็นคุณสมบัติสำคัญของพระราชาในยุคนั้น ที่ผมยกย่องเป็นอย่างยิ่ง ผมว่า หากไทยเรามีคนแบบนี้ เยอะๆ เมืองไทยจะเจริญ ไม่มีเสื่อมทีเดียว
ย้อนกลับมาเรื่องพระราชาใหม่ และเมื่อทราบว่า พระอานนท์ ท่าน รับจีวร ไว้เยอะจริง แต่ก็ใช้แต่พอเพียง ที่เหลือพระอานนท์บริจาคต่อทั้งหมด อีกทั้งนำไปใช้งานอย่างคุ้มค่า ทำให้พระราชายิ่งเลื่อมใส ตรงนี้เอง เป็นเครื่องยืนยันในพระไตรปิฎกว่า พระที่ท่านรับวัตถุปัจจัยต่างๆ ไว้นั้น หาก บางองค์รับไว้ดูเหมือนมากเกินไป แต่ถ้าท่านใช้แต่สิ่งที่พอเพียง ที่เหลือบริจาคให้ผู้อื่นไว้ใช้งาน ก็น่ายกย่องสรรเสริญ ว่าเป็นพระดี ทำให้ศาสนาเจริญ เช่นเดียวกัน
พิธีตักบาตรหมื่นรูปที่เชียงใหม่ ด้วยพระ ครู และทหารที่ภาคใต้ |
ปัจจัยข้าวของช่วยพระ ครู และทหารที่ภาคใต้ |
ช่วยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่เนปาล |
ผมว่าแค่คนคนเดียวรู้จักการฝึกสมาธิ แค่นี้ ก็ใช้ในชีวิตประจำวันเขาได้ตลอดชีวิต ทั้ง การเรียน การทำงาน ทั้งให้สงบใจมีสติ ก่อนแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิต แค่นี้ ประโยชน์ก็มหาศาลแล้ว แล้ว ถ้าไม่ใช่คนเดียว แต่เป็นคนจำนวนมากได้ประโยชน์ล่ะ แค่นี้พระท่านก็ควรได้รับการยกย่องอย่างยิ่งแล้ว
แต่นี่ไม่ ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียว พรรคพวกผมที่ไปกราบสมเด็จท่าน ยังไปอนุโมทนาบุญที่ท่านได้บริจาค ปัจจัย บำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ต่างๆ สนนราคาก็หลักล้านทั้งนั้น แต่สมเด็จท่านก็ตอบกลับมาว่า ไม่ใช่เงินอาตมาหรอก เงินญาติโยมเขาบริจาคมาทั้งนั้น อาตมาก็นำมาบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ให้เกิดขึ้น ผู้บริจาคจะได้ดีใจ ที่ทรัพย์เขานำไปใช้ประโยขน์ยิ่งๆ ขึ้นไป
ผมได้ฟังแล้ว ความรู้สึกเลื่อมใสยิ่งบังเกิดขึ้น นี่แหละหนึ่งในพระดีพระแท้ เจริญรอยตามคำสอนของพระบรมศาสดาดังที่มีปรากฏเรื่องราวตัวอย่างไว้ ในพระไตรปิฎก ความรู้สึกนั้น ก็เหมือนที่พระราชาท่าน เลื่อมใสพระอานนท์องค์นั้นนั่นเอง
หมายเหตุ : พระไตรปิฎกที่ใช้อ้างอิง
http://www.dhammahome.com/webboard/topic/8328