ประวัติพระแก้วมรกต




ตามประวัติกล่าวว่า พระแก้วมรกตพระองค์นี้ เทวดาสร้างถวายพระอรหันต์องค์หนึ่ง มีนามว่า พระนาคเสนเถระ แห่งเมืองปาตลีบุตร ในอินเดีย พระนาคเสน ได้อธิษฐานอาราธนาพระบรมสารีริกธาตุ ของสมเด็จพระสัมมนาสัมพุทธเจ้า ให้ประดิษฐานอยู่ในองค์พระแก้วมรกต ๗ พระองค์ คือ ในพระโมฬี พระนลาฏ พระอุระ พระอังสาทั้ง ๒ ข้าง พระชานุทั้ง ๒ ข้าง ต่อมาพระแก้วมรกตได้ตกไปอยู่ที่เมืองลังกา เมืองกัมโพชา เมืองศรีอยุธยา เมืองละโว้ เมืองกำแพงเพชร และเมืองเชียงราย ตามลำดับ เจ้าเมืองเชียงรายได้เอาปูนทาแล้วลงรักปิดทอง นำไปบรรจุไว้ในพระเจดีย์ที่เมืองเชียงราย เพื่อซ่อนเร้นจากศัตรู
เมื่อ พ.ศ. ๑๙๗๙ เกิดฟ้าผ่าที่องค์เจดีย์ ชาวเมืองได้เห็นพระพุทธรูปปิดทองปรากฎอยู่ คิดว่าเป็นพระพุทธรูปศิลาทั่วไป จึงได้อัญเชิญไปไว้ในวิหารในวัดแห่งหนึ่ง ต่อมาปูนที่ลงรักปิดทองได้กะเทาะออกที่ปลายพระนาสิก เห็นเป็นเนื้อแก้วสีเขียว จึงได้แกะปูนออกทั้งองค์ จึงพบว่าเป็นพระพุทธรูปแก้วทึบทั้งองค์ ผู้คนจึงพากันไปนมัสการ พระเจ้าสามฝั่งแกน เจ้าเมืองเชียงใหม่ จึงจัดกระบวนไปอัญเชิญพระแก้วมรกตมาเชียงใหม่ แต่ช้างที่ใช้อัญเชิญได้หันเหไปทางลำปางถึงสามครั้ง จึงต้องยอมให้อัญเชิญไปประดิษฐานที่ นครลำปางถึง ๓๒ ปี ที่วัดพระแก้ว ยังปรากฎอยู่ถึงปัจจุบันนี้

เมื่อ พ.ศ. ๒๐๑๑ พระเจ้าติโลกราชครองเมืองเชียงใหม่ ได้อัญเชิญพระแก้วมรกต มาประดิษฐานที่เมืองเชียงใหม่ เป็นเวลา ๘๔ ปี ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๔ พระเจ้าไชยเชษฐา โอรสพระเจ้าโพธิสาร ซึ่งเป็นพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) ได้ครองเมืองเชียงใหม่ต่อจากพระอัยกา ครั้นเมื่อพระเจ้าโพธิสารทิวงคต ทางกรุงศรีสัตนาคนหุต จึงเชิญพระเจ้าไชยเชษฐา กลับไปเมืองหลวงพระบาง จึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปด้วย เมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๕ และได้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองหลวงพระบาง ๑๒ ปี ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๑๐๗ ได้ย้ายราชธานีไปอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ และได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปด้วย พระแก้วมรกต ได้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์อีก ๒๑๔ ปี
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ขณะที่ทรงดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ยกกองทัพ ไปตีได้เมืองเวียงจันทน์ และได้อัญเชิญพระแก้วมรกตพร้อมกับพระบาง มายังกรุงธนบุรี ได้ประดิษฐานไว้ ณ โรงพระแก้วในบริเวณพระราชวังเดิม ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ฯ ได้ครองราชย์ที่กรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ ได้ทรงโปรดให้ประดิษฐานพระแก้วมรกต ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๗


พระแก้วมรกต ที่อยู่พระราชวังหลวงนั้น(วัดพระแก้ว) แท้จริงแล้วก่อนจะมาเป็นพระพุทธรูปที่มาประดิษฐานอยู่ในประเทศไทยของเรานั้น ได้เคยเป็นแก้วมรกตอยู่ในภูเขาหิมาลัยลูกใดลูกหนึ่งมาก่อน เขาลูกนั้นเป็นหินแก้วมรกต เมื่อเวลาผ่านไปหินนั้นได้กลั่นออกมาเป็นน้ำแก้ว ก็เป็นแก้วมรกต สีเขียว มีฤทธิ์มีอำนาจ พระเจ้าแผ่นดินในอินเดียสมัยนั้น ก็ไปได้ลูกแก้วลูกนี้มา แต่ยังไม่ได้มีการสลักเป็นพระพุทธรูปเหมือนที่เราเห็นทุกวันนี้
          แก้วมรกตนี้เป็นสมบัติของพระเจ้าแผ่นดินในอินเดียมาเป็นระยะเวลาจนนับประมาณ ไม่ได้ เมื่อมีพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งมาอุบัติบังเกิดขึ้น แล้วก็มาได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินเป็นใหญ่ในแผ่นดินอินเดียให้ชื่อว่าเป็น พระยามิลินทร์
          พระยามิลินทร์ เป็นคนปฏิภาณโวหารดี สมัยนั้นถึงแม้มีพระอรหันต์หลายท่าน แต่ว่าท่านพระอรหันต์เหล่านั้นก็ไม่กล้าทัดทานวาทะของพระยามิลินทร์ พระยามิลินทร์เวลานั้นยังไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ไปไหนมาไหนพระยามิลินทร์ก็จะปฏิภาณครอบโลกไปอย่างนั้น ใครๆก็กลัวเพราะเป็นผู้มีอำนาจ
          พระอรหันต์เถระสมัย นั้น จึงมาจินตนาการว่า จะทำอย่างไรกับพระยามิลินทร์นี้ให้เลื่อมใสในพุทธศาสนา พวกเราที่เกิดมาปฏิบัติอยู่นี้ก็ไม่มีใครไปทัดทานแกได้ คนแบบนี้คงมีอาจารย์ที่เคยสั่งเคยสอนแกมาก่อน ถ้าเคยเป็นอาจารย์มาก่อนคงจะสามารถสอนสั่งพระยามิลินทร์ได้ เมื่อสันนิษฐานอย่างนี้แล้ว พระเถระจึงเข้าฌานดูว่าเทวดาหรือมนุษย์คนไหนที่เคยเป็นครูอาจารย์ของพระยามิ ลินทร์นี้มาก่อน เมื่อพระเถระท่านให้พระที่มีฌานเหาะเหินเดินอากาศไปทั่วมนุสสโลก เทวโลก พรหมโลก ว่าองค์ใดเป็นอาจารย์ของพระยามิลินทร์ ก็ไปเห็นอยู่ในเทวโลก เมื่อสอบถามดู ท่านก็ว่าเคยเป็นอาจารย์เป็นครูสอนพระยามิลินทร์มาก่อน เมื่อว่าอย่างนั้นแล้ว พระเถระท่านจึงขอ (นิ) มนต์ ขอเชิญเทวดาเจ้า จุติไปเกิดในโลกมนุษย์ เพื่อที่จะได้ช่วยกิจการพระศาสนา
          พระอาจารย์ของพระยามิลินทร์ที่เป็นเทวดาอยู่ ท่านก็ลงมาจุติในโลกมนุษย์นี้ให้ตามความต้องการของพระอรหันตาขีณาสพ จะได้ช่วยกิจการพระศาสนา เมื่อว่าอย่างนั้นแล้ว พระเถระจึงแนะนำว่า “ถ้าไปเกิดก็ให้ไปเกิดในตระกูลนั้น ตระกูลที่จะได้รับรอง พระสงฆ์ก็จะได้เตรียมการรับรองมาตั้งแต่เล็กน้อย” เมื่อตกลงกันดีแล้วก็ลงมา
          วันนั้น เทวดาตนนั้นก็ลงมาเกิดที่ว่านั้น เกิดแล้วพระสงฆ์องค์เจ้าก็ไปบิณฑบาตบ้านญาติโยมไว้ให้มันพร้อมมูลทุกอย่าง เตรียมการต้อนรับไว้ จนกระทั่งเด็กทารกนั้น เจริญวัยใหญ่โตขึ้นมา พอจะบวชเป็นสามเณรได้ ก็ขอจากญาติโยมมาบวชเป็นสามเณรเรียนธรรมะคำสอน ประพฤติปฏิบัติ ก็เป็นอันว่าตกลงทั้งญาติโยมพ่อแม่ของ “พระนาคเสน” ชื่อ นาคเสน เมื่ออายุครบ ๒0 ก็อุปสมบทให้เป็นพระ ส่วนการภาวนา ก็เรียกว่าสำเร็จเป็นขั้นๆมา จนถึงขั้นเป็นพระอรหันตาขีณาสพจบพรหมจรรย์ เรียนพระไตรปิฎก ๘๔,000 พระธรรมขันธ์ จบเรียบร้อย พร้อมด้วยการละกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ให้หมดไปสิ้นไป แล้วจึงได้ไปโต้วาทีกับพระยามิลินทร์ เพราะเป็นอาจารย์เก่า ตามข่าวคราวว่าโต้เถียงกันมาตลอด
          พระนาคเสนก็มีหน้าที่แสดงธรรม พระยามิลินทร์ก็โต้ไป ไม่ยอม พอหนักเข้า ๆ ก็มาถึงปัญหา ข้อหนึ่ง พระนาคเสนท่านก็ตอบแบบเล่นๆ บอกว่า โยม มหาบพิตร มีน้ำก็มีปลา มีนาก็มีข้าว” ว่าอย่างนั้น “มีอย่างหนึ่งก็ต้องมีอย่างหนึ่ง” ทีนี้พอว่าถึง มีน้ำมีปลา มีนามีข้าว ก็จับจุดเอาตรงที่ว่ามีน้ำมีปลา พระยามิลินทร์ก็เรียกให้ลูกน้องไปเอา มะพร้าวมาผ่าดู ว่ามีปลาจริงไหม” ทีนี้ด้วยพระวาจาของพระอรหันต์มันเกิดมีปลาขึ้นมา มะพร้าวลูกที่เอามาผ่า มีปลาอยู่ในนั้นจริง จึงยอม และ ยอมนับถือศาสนาพุทธ ยอมเป็นลูกศิษย์ของพระนาคเสน
               เมื่อพระยามิลินทร์ยอมนับถือแล้ว พระนาคท่านเป็นพระอรหันต์ท่านรู้ว่ามีแก้วมรกตลูกหนึ่งที่มีความสำคัญกับพระ พุทธศาสนา ท่านจึงขอ “บิณฑบาตแก้วมรกตที่เป็นมูลสังฆญาตินั้น จะได้ไหม มหาบพิตร” พระยามิลินทร์จึงได้ถามว่า “ท่านพระอาจารย์จะเอาไปทำไม” พระนาคเสนก็ตอบว่า “คือแก้วนี้เป็นแก้วมีฤทธิ์มีอำนาจ จะนำแก้วไปแกะสลักให้เป็นพระพุทธรูป พระศาสนาจะได้เจริญรุ่งเรืองต่อไป” พระยามิลินทร์ได้ยินเช่นนั้นจึงบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็จะเอามาถวาย”  
           เมื่อได้ฤกษ์งามยามดีก็เอามาถวายพระนาคเสน พระนาคเสนก็รับเอาแก้วลูกนี้ พอข่าวคราว พระยามิลินทร์สู้พระนาคเสนไม่ได้ จึงยอมถวายลูกแก้วมรกต ทีนี้ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีนักแกะอยู่ตาวติงสาท่านมีนักแกะที่ดีลงมาขอจากพระนาคเสนรับเอาไปแกะ จะแกะอย่างดีไม่ให้แตก ไม่ให้ทำลาย พระนาคเสนก็มอบให้ แกะเสร็จเรียบร้อยก็เอามาถวายพระนาคเสน พระนาคเสนก็ฉลองสมโภช ทุกสิ่งทุกอย่างตามธรรมเนียมอินเดียในสมัยนั้น
          พระแก้วมรกตนั้นก็มีอำนาจอยู่แล้ว เมื่อมีการแกะเป็นพระพุทธรูปแล้ว พระนาคเสนจึงอธิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าเข้าไว้ในองค์พระแก้ว นั้นด้วย ก็เกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมากมาย
           ก่อนที่พระแก้วมรกตจะได้เสด็จมายังประเทศไทย สมัยนั้นแขกทางทะเลทราย เป็นศาสนาอิสลามยกกองทัพมารบอินเดีย ให้เข้าศาสนาอิสลาม ด้วยที่ว่าในสมัยนั้นทางอินเดียไม่ค่อยสู้ จึงยอมให้ศาสนาอิสลามทำลายสถานที่ต่างๆ เผาวัดเผาวา ฆ่าคนที่ไม่นับถืออิสลาม (ในสมัยนั้นอิสลามไม่เลื่อมใสในศาสนาพุทธ) ทุบทำลายที่เป็นศาสนาพุทธทั้งหมด พระพุทธรูปต่างๆส่วนใหญ่จึงถูกทุบทำลายไปหมดแล้ว
          เนื่องจากได้เลยสมัยพระนาคเสน พระยามิลินทร์มาแล้ว ญาติโยมสมัยนั้นก็ไม่มีใครกล้าต่อสู้ในเรื่องนี้ ญาติโยมที่เหลือ พระสงฆ์สามเณรก็ลงมติกันว่าจะทำการย้ายพระแก้วมรกตไปสู่แผ่นดินที่สามารถปก ปัดรักษาเอาไว้ต่อไป พระเถระจึงเข้าฌานดูว่า “ในโลกเราต่อไป ประเทศไหนคนพวกดะรักษาพระศาสนาก็รู้ที่เดียวว่าเมืองไทย” ในสมัยนั้น เขาไม่ได้เรียกเมืองไทย แต่เรียกว่า “ปัจจันตประเทศ” เป็นประเทศที่เรียกว่ายังไม่เจริญ ไม่เหมือนอินเดีย เมื่อรู้อย่างนั้นแล้วจึงเอาลงเรือ จากอินเดีย ไปเกาะลังกา วนรอบขึ้นเขมร กัมพูชา พระแก้วมรกตก็มาอยู่ที่เขมรแล้วก็ขึ้นมาเมืองไทย จนไปหลายที่ เชียงแสน เชียงราย เชียงใหม่ หลังจากนั้นก็เวียงจันทร์ พระแก้วมรกตก็ไปเวียงจันทร์ กับพระบางพระทองคำที่อยู่หลวงพระบาง
          รัชกาลที่ ๑ กรุงเทพมหานคร สมัยนั้นยังเป็นแม่ทัพใหญ่อยู่ทางภาคเหนือ ได้ไปรบกับทางเวียงจันทร์ จนได้ชัยชนะจึงนำพระแก้วมรกตกลับมาอยู่ที่วัดพระแก้วนี่แล
           พระนาคเสนเมื่อดับขันธ์แล้วก็เข้าสู่นฤพาน ตามตำนานของหลวงปู่มั่น ท่านได้เสด็จมาที่ประเทศไทย มานิพพานที่เขาใหญ่
          ส่วนพระยามิลินทร์ ท่านก็ลาราชการมาบวช แล้วก็ได้ภาวนาสำเร็จเป็นพระอรหันตาขีณาสพ แก่ชราแล้วก็เสด็จมานิพพานที่เมืองไทย ที่วัด ลำปาง-หลวง นครลำปาง

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘