นักวิจัยชี้หลักฐาน...ความรุนแรงตามแนวทางรัฐอิสลาม ขัดแย้งกับเจตนารมย์ของศาสนทูตมุฮัมมัด

จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยไรซ์ (Rice University) ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งศึกษา "พันธะสัญญาของศาสนทูตมุฮัมมัดที่ให้แก่ชาวคริสต์” (The prophet's covenants with Christians) โดยทำการวิเคราะห์อย่างละเอียด พบว่า “ศาสนทูตมุฮัมมัดมีความเชื่อว่า เสรีภาพทางศาสนาและสิทธิมนุษยชนนั้น เป็นองค์ประกอบสำคัญของชาติมุสลิม”
นักวิจัยกล่าวว่า พันธะสัญญาดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในการแก้ไขและพัฒนาการมีหุ้นส่วนร่วมกันทาง ประชาธิปไตยระหว่างชาวมุสลิมและชาวคริสต์ในโลกมุสลิมหรือที่อื่นใดในโลกให้ เข้มแข็งยิ่งขึ้น
บทความเรื่อง ""Religious Pluralism and Civic Rights in a 'Muslim Nation': An Analysis of Prophet Muhammad's Covenants with Christians” (พหุนิยมทางศาสนาและสิทธิพลเมืองในชาติมุสลิม:การวิเคราะห์พันธะสัญญาของนบี มูฮัมหมัดที่ให้แก่ชาวคริสต์) ปรากฏอยู่ในวารสาร “Religions”
ผู้เขียนบทความคือ ดร. เครก คอนซิดีน (Craig Considine) อาจารย์คณะสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยไรซ์ ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์พันธะสัญญาดังกล่าว พบว่า "ข้อตกลงนี้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้เสรีภาพทางศาสนาและสิทธิพลเมืองแก่ชาว คริสต์ที่อาศัยอยู่ในชุมชนใด ๆ"
อาจารย์เครกบอกว่า “พันธะสัญญานี้ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันและแม้แต่ให้สิทธิพิเศษในการอารักขา ชุมชนชาวคริสต์ให้อยู่อย่างผาสุก เพื่อไม่ให้มีการรุกรานโจมตีพวกเขาเหล่านั้น”
เขากล่าวอีกว่า "งานวิจัยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การกระทำผิดและเหยียดหยามกีดกันชาวคริสต์ของรัฐอิสลามในปัจจุบันนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ได้เป็นไปตามหลักพันธะสัญญาของศาสนทูตนบีมุฮัมมัด”
พันธะสัญญานี้ถูกเขียนขึ้นในปีค.ศ. 622-632 และมีการประทับตราซึ่งเป็นสัญลักษณ์มือของศาสนทูตมุฮัมมัด โดยสันนิษฐานว่าเหตุผลในการเขียนนั้น ก็เนื่องมาจากเจตนารมย์ของท่านศาสนทูตที่ต้องการจะสร้างพันธมิตร เพื่อสนับสนุนชุมชนมุสลิมใหม่ของตนเอง และเพื่อการปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกลุ่มชุมชนที่สมาชิกศรัทธาในคริสต์ศาสนา
บทความนี้ได้สำรวจพันธะสัญญาซึ่งศาสนทูตได้ให้ไว้แก่ชาวคริสต์กลุ่มต่างๆ ได้แก่ กลุ่มนักบวชคริสต์แห่งหุบเขา Sinai ชุมชนชาวคริสต์ใน Najran ในคาบสมุทรอาระเบีย ชาวคริสต์ในเปอร์เซีย และชาวคริสต์ทั่วโลก โดยเฉพาะในพันธะสัญญาที่ให้แก่ชาวคริสต์ในเปอร์เซียนั้น ศาสนทูตนบีฯ ได้เน้นย้ำชัดเจนถึง “เสรีภาพทางศาสนาอย่างสมบูรณ์”
และตามประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าโดยกลุ่มวิหารนักบุญแคทเทอรีน (Saint Catherine's Monastery) นบีมุฮัมมัดเดินทางไปมาหาสู่ที่วิหารนี้เป็นประจำและมีความสัมพันธ์และหารือ กันด้วยดีกับนักบวชกลุ่ม Sinai
ต่อไปนี้คือตัวอย่างข้อความของศาสนทูตมุฮัมมัดที่ปรากฏในพันธะสัญญา
“... มุสลิมพึงรับภาระหน้าที่ในการช่วยเหลือและดูแลพวกเขา (ชาวคริสต์) เหล่านั้นผู้ล้วนเป็นประชาชนที่อยู่ในชาติของข้าพเจ้า จงรับฟังคำของพวกเขาซึ่งถือเป็นผู้ช่วยเหลือเช่นกัน และดังนั้นจึงเป็นการสมควรแก่เจตนารมย์ของข้าพเจ้าที่จะใส่ใจในความสะดวก สบาย การป้องกันและช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้น แม้ต้องเผชิญกับการคัดค้านหรือความยุ่งยากทั้งปวง ทั้งนี้ เพื่อจะหยุดยั้งทุกสิ่งที่จะกลายเป็นเหตุในการล้างผลาญทำลายพวกเขาเหล่า นั้น...”
Muslims shall hold themselves in duty bound to aid and care for them, for they are a people subject to my Nation, obedient to their word, whose helpers also they are. It therefore is proper for my sake to attend to their comfort, protection and aid, in face of all opposition and distress, suppressing everything that becomes a means to their spoliation," the prophet wrote.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘