ใช้แอร์ 9 วิธีนี้ ค่าไฟไม่แพง
ฤดูฝนและฤดูหนาวเป็นเพียงแค่ลมพัดผ่าน
สั้น ๆ ในแต่ละปีของบ้านเรา เพราะเอาเข้าจริงๆแล้ว
ฤดูร้อนแทบจะกลายจะเป็นฤดูหลักของบ้านเราไป
เพราะเมืองไทยเราอยู่ใกล้กับเส้นศูนย์สูตร
ทำให้หลายๆบ้านต้องซื้อแอร์ มาไว้ใช้ แม้ว่าจะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายในบ้านก็ยอม วันนี้เราเลยมีเคล็ดลับดีๆกับ 9 วิธีใช้แอร์ ค่าไฟไม่พุ่ง แบบเย็นใจ สบายกระเป๋า มีเงินเหลือใช้!
9 วิธีใช้แอร์ ค่าไฟไม่พุ่ง แบบเย็นใจ สบายกระเป๋า มีเงินเหลือใช้!
1. ต้องประหยัดไฟเบอร์ 5
จากสถิติการใช้ไฟฟ้าหลาย ๆ
ปีจะพบว่าช่วงเดือนเมษายนจะเป็นช่วงเวลาที่เมืองไทยใช้พลังงานไฟฟ้ามากที่
สุดเสมอ เพราะเป็นช่วงเวลาที่เมืองไทย อากาศร้อนสุด ๆ
สถิตินี้สะท้อนให้เห็นแล้วว่าเมืองไทยใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อสร้างความเย็นให้
ที่อยู่อาศัยมากเป็นอันดับต้น ๆ การเลือกแอร์ที่ประหยัดไฟ
จึงเป็นปัจจัยแรกที่ควรนึกถึงทุกครั้งที่เลือกซื้อ เป็นที่ทราบกันดีค่ะว่า
ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5
เป็นระดับความประหยัดไฟฟ้าสูงที่สุดออกโดยกระทรวงพลังงาน
และจะมีตรากระทรวงประทับอยู่บนฉลากเสมอ แอร์ประหยัดไฟเบอร์ 5
จึงเป็นแอร์ที่ควรได้รับการพิจารณาเป็นอันดับต้น ๆ
เมื่อเลือกซื้อแอร์ติดตั้งภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นแอร์แบบฝังในเพดาน
แอร์ติดผนัง หรือแอร์เคลื่อนที่
2. ติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสม
เป็นเรื่องสำคัญอันดับต้น ๆ
สำหรับตำแหน่งการติดตั้งแอร์
เพราะหากอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้วจะสามารถลดค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือนได้
ตำแหน่งที่เหมาะสมในการติดตั้งแอร์ FCU (ตัวเครื่องที่ติดตั้งภายในห้อง)
ในบ้านมีดังนี้
บริเวณที่ติดตั้งสามารถกระจายลมได้ทั่ว
ถึงทั้งห้อง ไม่มีสิ่งกีดขวาง และไม่ควรติดตั้งในมุมอับ
หลีกเลี่ยงการติดตั้ง FCU ในบริเวณที่ใกล้กับประตู หน้าต่าง
หรือพัดลมดูดอากาศเพราะจะทำให้อากาศเย็นภายใน
ถูกความร้อนภายนอกไหลเข้ามาแทนที่ได้ง่าย
อย่าติดชิดผนังที่รับแดดจัด
หรือทิศตะวันตก เพราะจะทำให้แอร์ทำงานหนัก
ยิ่งเป็นห้องนอนที่ต้องอยู่อาศัยในช่วงเย็นด้วยแล้ว
ยิ่งควรหลีกเลี่ยงตำแหน่งดังกล่าว
3. เลือกขนาดที่พอดีกับพื้นที่ภายในห้อง
อาจจะได้ยินกันมาบ้างสำหรับค่า BTU
(British Thermal Unit) คือหน่วยวัดปริมาณความร้อน
โดยในเครื่องปรับอากาศจะใช้หน่วยวัดพลังเป็น BTU/hr. (บีทียูต่อชั่วโมง)
หรือจะเรียกง่าย ๆ ว่า BTU เทานั้น อาทิ เครื่องปรับอากาศขนาด 12,000
BTU/hr. หมายความว่าเครื่องปรับอากาศเครื่องนี้สามารถดูดความร้อน BTU
ภายในหนึ่งชั่วโมง เครื่องปรับอากาศแต่ละรุ่นจะมีค่า BTU
ต่างกันเริ่มตั้งแต่ 9,000-80,000 BTU ซึ่งถือเป็นค่าสูงสุด การเลือกขนาด
BTU ตามความเหมาะสม ควรเลือกตามขนาดของห้อง สามารถคำนวณโดยใช้สูตร
พื้นที่ห้อง x ค่า Cooling Load Estimation = ค่า BTU ที่เหมาะสม
ค่าประเมิน Cooling Load Estimation ที่เหมาะสมกับแต่ละห้อง
ห้องนอน 700-750 BTU/ตารางเมตร
ห้องนั่งเล่น 750-850 BTU/ตารางเมตร
ห้องทานอาหาร 800-950 BTU/ตารางเมตร
ห้องครัว 900-1000 BTUตารางเมตร
ห้องทำงาน 800-900 BTU/ตารางเมตร
ห้องประชุม 850-1000 BTU/ตารางเมตร
สูตรข้างต้นใช้คำนวณในกรณีที่ความสูง
ของเพดานที่สูงไม่เกิน 3 เมตรเท่านั้น
หากห้องมีความสูงมากกว่าและมีปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มขึ้น อาทิ
จำนวนผู้อยู่อาศัย เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือพื้นที่กระจกภายในห้อง จะต้องบวกค่า
BTU เพิ่มด้วย หากเลือกขนาดของ BTU
มากติดตั้งในห้องขนาดเล็กก็จะเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ
วิธีประหยัดแอร์
Advertisement
4. ตั้งอุณหภูมิให้พอเหมาะ
โดยทั่วไปแล้วเรามักจะเข้าใจว่า
อุณหภูมิภายในห้อง ที่เหมาะต่อการอยู่อาศัยอยู่แล้วรู้สึกสบายนั้น
จะอยู่ที่ 25-26 องศา หากเกินนี้จะรู้สึกร้อนเกินไป
แต่หากเลือกเปิดแอร์ที่อุณหภูมิ 28-30 องศา
แล้วเลือกเปิดพัดลมเพื่อเพิ่มความเร็วลมในห้อง
เราจะยังรู้สึกเย็นสบายอยู่เช่นเดิมและช่วยประหยัดพลังงานได้มากเพราะ
เครื่องปรับอากาศจะทำงานเบาลง หากเป็นช่วงเวลานอนควรตั้งอุณหภูมิไว้
ไม่ต่ำกว่า 28 องศา
เนื่องด้วยในช่วงเวลาที่เราหลับร่างกายจะไม่สามารถปรับอุณหภูมิตามสภาพอากาศ
ได้จึงควรตั้งอุณหภูมิที่สูงไว้ เป็นการช่วยประหยัดพลังงานได้อีกทาง
5. เครื่องใช้ไฟฟ้า เอามันออกไป
เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ใน
ห้อง อย่างเช่น ตู้เย็น เครื่องทำน้ำร้อน เครื่องถ่ายเอกสาร หม้อ หุงข้าว
เครื่องชงกาแฟ กาต้มน้ำไฟฟ้า รวมทั้งการเปิดไฟมากเกินความจำเป็น
คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อุณหภูมิห้องสูงขึ้นและทำให้เครื่องปรับอากาศต้องทำ
งานหนักขึ้นด้วย ดังนั้นชิ้นไหนไม่จำเป็น
จึงควรย้ายออกจากห้องและควรเปิดไฟแต่พอดี เพื่อให้ห้องเย็นสบาย
6. งดกิจกรรมทำความร้อน
อ๊ะ!! อย่าคิดลึกนะคะ
กิจกรรมทำความร้อนที่ว่า คือการสูบบุหรี่ภายในห้องปรับอากาศ
เนื่องด้วยการสูบบุหรี่ในห้องปรับอากาศจะต้องเปิดพัดลมระบายอากาศเพื่อระบาย
ควันและกลิ่นออกจากห้อง
การถ่ายอากาศส่วนหนึ่งออกจากห้องและปล่อยให้อากาศภายนอกเข้ามาทดแทนจะทำให้
เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้น เพี่อปรับอุณหภูมิภายในห้องให้เย็นเท่าเดิม
7. เสื้อผ้าใส่สบายเข้าไว้
เคยเห็นกันบ้างใช่ไหมคะ
ออฟฟิศบางแห่งตั้ง อุณหภูมิห้องไว้ที่ 20 องศาแล้วบางท่าน (โดยเฉพาะ
คุณผู้หญิง) ต่างโหมประโคมใส่เสื้อผ้าชุดกันหนาว
ประดุจดั่งอยู่เมืองนอกเมืองนา บ้างก็ใส่สูทตัวหนาเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีมาก ๆ ค่ะ
เพราะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เราสามารถปรับอุณหภูมิให้อยู่ที่
25 องศาแล้วใส่ เสื้อผ้าสบาย ๆ ให้ได้รับความเย็นที่กำลังพอดีได้
ในบ้านก็เช่นกันหากเลือกใส่เสื้อผ้าที่สบาย ๆ แล้วเราตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 28
องศา จะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าไปอีกแรง
8. ผ้าม่านช่วยได้เยอะ
ไม่ใช่แค่ความสวยงามเท่านั้น
ผ้าม่านยังทำหน้าที่กันความร้อนอีกชั้นไม่ให้เข้าสู่พื้นที่ภายในบ้าน
โดยทั่วไปแล้วม่านหน้าต่างจะนิยมติดตั้ง 2
โดยชั้นแรกจะเป็นม่านกรองแสงที่ช่วยบังตาจากภายนอก
ส่วนอีกชั้นจะเป็นผ้าม่านหนาที่นอกจากจะช่วยสร้างความงามให้ห้องด้วยลวดลาย
สีสันที่หลากหลายแล้ว
ม่านหนานี้ยังทำหน้าที่กันความร้อนจากภายนอกไม่ให้เข้าสู่ภายในห้องโดยตรง
ยิ่งปัจจุบันผ้าม่านมีนวัตกรรมมากมายทั้งเก็บความเย็นภายในบ้าน
ป้องกันแสงยูวี และอายุการใช้งานก็คงทนลวดลายคงอยู่ยาวนานด้วย
9. ธรรมชาติมอบสิ่งดี ๆ เสมอ
ที่สุดแล้วคนเราคงหนีธรรมชาติไม่พ้น
และต้นไม้ก็เป็นอีกสิ่งมีชีวิตบนโลกที่ช่วยเราได้หลาย ๆ เรื่อง
ทั้งเรื่องอากาศบริสุทธิ์ สร้างความร่มรื่น
และยังช่วยบังความร้อนจากแสงอาทิตย์ หากปลูกต้นไม้รอบ ๆ บ้านแล้ว
จะช่วยให้เราลดการใช้เครื่องปรับอากาศได้มาก
หากบ้านไหนมีต้นไม่ใหญ่ปลูกเป็นสวนร่ม
รื่นด้วยแล้ว แทบจะไม่ต้องพึ่งพลังงานเครื่องปรับอากาศกันเลยทีเดียว
และวิธีนี้เป็นทางออกสันติวิธีที่นอกจากจะช่วยให้บ้านเย็นแล้ว
ยังช่วยให้อุณหภูมิโลกเย็นลงด้วย