วันมหาปวารณา วันที่พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปเปิดโอกาสให้ว่ากล่าวตักเตือนกันได้
วันมหาปวารณา วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11
วันที่พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปเปิดโอกาสให้ว่ากล่าวตักเตือนกันได้
ประวัติความเป็นมาของการทำปวารณาในวันออกพรรษา
เกิดขึ้นจากครั้งเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับจำพรรษาอยู่ ณ
พระเชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี
มีพระภิกษุกลุ่มหนึ่งแยกย้ายกันจำพรรษาอยู่อารามรอบๆ พระนคร
พระภิกษุเหล่านั้นเกรงจะเกิดความขัดแย้งกัน จนอยู่ไม่เป็นสุขตลอดพรรษา
จึงได้ตั้งกติกากันว่าจะประพฤติมูควัตร คือ การนิ่งไม่พูดจากันตลอดสามเดือน และได้ถือปฏิบัติกันมาตลอดทั้งพรรษา เมื่อถึงวันออกพรรษา
พระภิกษุเหล่านั้นก็ได้พากันเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระเชตวันมหา
วิหาร แล้วกราบทูลเรื่องทั้งหมดให้พระพุทธองค์ทรงทราบ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตำหนิ
แล้วทรงมีพระบรมพุทธานุญาตให้พระภิกษุกระทำการปวารณาต่อกันว่า
"ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาแล้ว
ปวารณากันในสามลักษณะ คือ ด้วยการเห็นก็ดี ด้วยการได้ยินก็ดี
ด้วยการสงสัยก็ดี
ดังนั้น ในวันออกพรรษาจึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันมหาปวารณา ซึ่งเป็นวันเดียวกัน ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี แต่ถือกันคนละความหมาย คือ..
วันออกพรรษา
คือ วันที่สิ้นสุดของการอยู่จำพรรษาหรือพูดง่ายๆ ว่า
วันสุดท้ายที่ต้องอยู่จำพรรษาในแต่ละปี
และพระสงฆ์จะต้องอยู่ให้ครบอีกหนึ่งราตรีจึงจะครบถ้วนบริบูรณ์
วันมหาปวารณา
คือ การทำปวารณาครั้งใหญ่ หมายถึง
วันที่พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปทั้งพระผู้ใหญ่และพระผู้น้อยต่างเปิดโอกาสอนุญาต
แก่กันและกัน ให้ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ด้วยจิตที่เมตตา
โดยมีคำกล่าวปวารณาเป็นภาษาบาลีว่า
"สังฆัมภันเต ปะวาเรมิ
ทิฏเฐนะ วา สุเตนะ วา ปะริสังกายะ วา
วะทันตุ มัง อายัสมันโต อะนุกัมปัง อุปาทายะ
ปัสสันโต ปฏิกกะริสสามิ"
แปล
ว่า "ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ กระผมขอปวารณาต่อสงฆ์ หากท่านทั้งหลายได้เห็น
ได้ยิน หรือสงสัย ว่า...กระผมได้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ขอท่านทั้งหลายโปรดอนุเคราะห์ว่ากล่าวตักเตือนกระผมด้วย
เมื่อกระผมมองเห็นแล้ว จักประพฤติตัวเสียใหม่ให้ดี"
การอยู่จำพรรษารวมกันตลอดระยะเวลาสามเดือน
อาจมีข้อประพฤติปฏิบัติที่ไม่ดีไม่งามเกิดขึ้นโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
หรือมองไม่เห็น เสมือนผงเข้าตาตัวเอง
แม้ผงจะอยู่ชิดติดกับลูกนัยน์ตา เราก็ไม่สามารถมองเห็นผงนั้นได้
จึงจำเป็นต้องไหว้วานขอร้องผู้อื่นให้มาช่วยดู หรือต้องใช้กระจกส่องดู เพราะ
ฉะนั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงใช้วิธีการปวารณาให้ว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและ
กันได้
เพื่อพระภิกษุที่ได้เห็นหรือแม้แต่ได้ยินได้ฟังเรื่องไม่ดีไม่งามอะไรก็ตาม
ให้กล่าวแนะนำตักเตือนได้ คือ
พระผู้มีพรรษามากก็กล่าวตักเตือนพระผู้มีพรรษาน้อยได้
และพระผู้มีพรรษาน้อยก็สามารถกล่าวชี้แนะถึงข้อบกพร่องของพระผู้มีพรรษามาก
ได้เช่นกัน
โดยที่พระผู้มีพรรษามากท่านก็มิได้สำคัญตนผิดคิดว่าท่านทำอะไรแล้วถูกไปหมด
ทุกอย่าง
การ
กล่าวปวารณาเท่ากับเป็นการช่วยระมัดระวังข้อประพฤติปฏิบัติที่ไม่ดีของ
พระรูปหนึ่ง ก่อนที่จะลุกลามก่อความเสื่อมเสียไปถึงพระหมู่มาก
และลุกลามไปถึงพระพุทธศาสนาได้
ท่านจึงใช้วิธีป้องกันไว้ก่อน ดีกว่าการแก้ไขในภายหลัง
การปวารณาที่พระภิกษุทั้งหลายกระทำนี้เป็นเครื่องมือชี้ให้เห็นวิธีการคอย
สังวร คือ ตามระวังไม่ให้ประมาท ไม่ยอมให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นได้
เหมือนล้อมรั้วไว้ก่อนที่วัวจะหาย
จุดมุ่งหมายของการปวารณา คือ...
จุดมุ่งหมายของการปวารณา คือ...
1. เป็นกรรมวิธีลดหย่อยผ่อนคลายข้อขุ่นข้องคลางแคลงที่เกิดจากความระแวงสงสัยให้หมดไปในที่สุด
2.
เป็นทางประสานรอยร้าวที่เกิดจากผลกระทบกระทั่งในการอยู่ร่วมกัน
ให้มีโอกาสกลับคืนดี ด้วยการให้โอกาสได้ปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน
3. เป็นทางสร้างเสริมความสามัคคีในหมู่ให้กลมเกลียวอยู่ร่วมกันอย่างสนิทใจ
4. เป็นแนวปฏิบัติให้เกิดความเสมอภาคกันในการแสดงความคิดสามารถว่ากล่าวตักเตือนได้ โดยไม่กำจัดด้วยยศ ชั้น พรรษา และวัย
5.
ก็ให้เกิดภราดรภาพ คือ
ความรู้สึกเป็นมิตรชิดเชื้อปรารถนาดีเอื้อเฟื้ออาทรเป็นพื้นฐาน
นำไปสู่พฤติกรรมอันพึงประสงค์ที่ดีงามคล้ายๆ กัน เรียกว่า ศีลสามัญญตา
อานิสงส์ของการปวารณา ได้แก่
1.ทำให้เกิดความบริสุทธิ์ในเพศบรรพชิต ทั้งทางกาย วาจา และใจ เป็นการคลายความสงสัย ระแวง ให้หมดไปในที่สุด
2.พระ
ภิกษุทุกรูปจะรู้ข้อบกพร่องของตนเอง และจะได้ปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น
โดยฝึกความอดทนต่อการว่ากล่าวตักเตือนได้
เป็นการเปิดใจยอมรับฟังผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้
3.พระ
ภิกษุทุกรูปจะได้ขอขมากันและกัน เพื่อที่จะไม่ถือโทษโกรธเคืองกันในภายหลัง
ด้วยความรักและปรารถนาดี และให้อภัยซึ่งกันและกัน
จะทำให้อยู่ร่วมกันในหมู่คณะอย่างผาสุก
4.เป็นการสร้างความสมัครสมานสามัคคีในสังฆมณฑลให้เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยการส่งเสริมและสนับสนุนในการทำงานพระพุทธศาสนาเป็นทีม
5.ทำให้คณะสงฆ์มีความเป็นปึกแผ่นแน่นเหนียวยากแก่การถูกทำลายจากผู้ไม่หวังดีต่อพระพุทธศาสนา
การปวารณาจึงเป็นการกระทำเพื่อหวังความเจริญ เพื่อเกิดประโยชน์ทั้งต่อส่วนตัวและส่วนรวม โดยเพื่อนสหธรรมิกด้วยกันเองตักเตือนกันเองได้โดยธรรม
ดังนั้น เมื่อวันมหาปวารณาเวียนมาถึง พวกเราพุทธบริษัทสี่จะได้ถือโอกาสนี้ปฏิบัติตามธรรมเนียมอันดีงามนี้ โดยการปวารณากับบุคคลข้างเคียงให้สามารถว่ากล่าวตักเตือนได้ เพื่อความบริสุทธิ์บริบูรณ์ในการสร้างบารมีต่อไปในภายภาคหน้า