Stage 3 : Distribution
The Four Stages of Stock price By Mark Minervini
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีจุดสิ้นสุด ในตลาดหุ้นก็เช่นกัน ราคาหุ้นไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ตลอดไป ในบางช่วงกำไรของบริษัทอาจเพิ่มขึ้นต่อไปแต่ด้วยเปอร์เซ็นต์ที่ลดลง ราคาหุ้นที่สูงขึ้นมาตลอดก็อาจปรับตัวลงได้ โดยที่ราคาจะปรับตัวลงด้วยการมีวอลุ่มที่มากขึ้นออกมาหนุนและความผันผวนของ ราคาก็จะเพิ่มมากขึ้น
ในช่วงที่ 3 นี้จะไม่ใช่ระยะเวลาที่มีการสะสมหุ้นอีกต่อไป แต่ในทางกลับกันจะเป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนมือของหุ้นจากผู้เล่นที่มีความ ชำนาญไปสู่ผู้เล่นที่อ่อนหัดหรือมือสมัครเล่น นักเล่นหุ้นที่มีความชำนาญได้ซื้อหุ้นมาตั้งแต่ช่วงหุ้นพุ่งขึ้นมาจากฐาน แล้ว และสามารถทำกำไรจากหุ้นมาเยอะแล้วจึงทะยอยขายทำกำไรในขณะที่หุ้นดูเหมือนว่า ยังแข็งแกร่งอยู่
สิ่งที่ต้องพึงระวังคือ ในช่วงที่ 3 นี้จะเป็นเวลาที่หุ้นสามารถขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ได้ ข้อสังเกตคือจะมีความผันผวนขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับระยะที่ 2
การประมาณกำไรที่คาดหวังไว้สูงๆก่อนหน้าจะเริ่มดูเหมือนว่าบริษัทจะไม่ สามารถทำไปได้ถึง ในความเป็นจริงคือ "บริษัทนั้นไม่สามารถจะทำกำไรให้เพิ่มขึ้นทันตามความคาดหวังของนักลงทุนได้ ตลอดไป" และแล้ว EPS ก็จะเริ่มปรับตัวลดลง ทั้งนี้ราคาหุ้นจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ลดลงก่อนที่จะมีการประกาศผลกำไร หรืออัตราการเติบโตของกำไรอาจลดลงมาก่อน 2-3 ไตรมาส ก่อนที่จะมีการปรับตัวลงอย่างชัดเจนของราคาหุ้น
ลักษณะของหุ้นระยะที่ 3
- ความผันผวนมากขึ้น หุ้นจะปรับตัวขึ้นๆลงๆในวงรอบที่กว้างขึ้น แม้ว่าภาพรวมของราคาหุ้นจะดูเหมือนกับระยะที่ 2(หุ้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น) แต่การเคลื่อนไหวของราคาจะเริ่มไม่มีแนวโน้มที่แน่นอน
- โดยปรกติจะมีการเกิดการร่วงลงอย่างมากของราคาพร้อมวอลุ่มที่หนาแน่นมากขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นวันที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมากที่สุดนับจากวันที่ระยะที่ 2 เกิดขึ้น ส่วนกราฟรายสัปดาห์ ราคาหุ้นอาจจะปรับตัวลงมาอย่างมากเช่นเดียวกันหลังจากที่เคลื่อนตัวจากระยะ ที่ 2 และการลดลงของราคานี้มักจะมาพร้อมกับวอลุ่มที่เยอะมากๆ
- ราคาหุ้นอาจตัดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200-day ราคาหุ้นจะขึ้นๆลงๆอยู่แถวๆเส้นค่าเฉลี่ย 200-day ซึ่งเป็นเรื่องปกติของหุ้นในระยะที่ 3 ที่จะเด้งอยู่แถวเส้น 200-day ไปมาอยู่อย่างนั้น
- เส้นค่าเฉลี่ย 200-day จะสูญเสียแนวโน้มขาขึ้น แต่จะออกข้างและจะเข้าสู่แนวโน้มขาลง (ให้สังเกตที่ slope ของมัน)
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีจุดสิ้นสุด ในตลาดหุ้นก็เช่นกัน ราคาหุ้นไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ตลอดไป ในบางช่วงกำไรของบริษัทอาจเพิ่มขึ้นต่อไปแต่ด้วยเปอร์เซ็นต์ที่ลดลง ราคาหุ้นที่สูงขึ้นมาตลอดก็อาจปรับตัวลงได้ โดยที่ราคาจะปรับตัวลงด้วยการมีวอลุ่มที่มากขึ้นออกมาหนุนและความผันผวนของ ราคาก็จะเพิ่มมากขึ้น
ในช่วงที่ 3 นี้จะไม่ใช่ระยะเวลาที่มีการสะสมหุ้นอีกต่อไป แต่ในทางกลับกันจะเป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนมือของหุ้นจากผู้เล่นที่มีความ ชำนาญไปสู่ผู้เล่นที่อ่อนหัดหรือมือสมัครเล่น นักเล่นหุ้นที่มีความชำนาญได้ซื้อหุ้นมาตั้งแต่ช่วงหุ้นพุ่งขึ้นมาจากฐาน แล้ว และสามารถทำกำไรจากหุ้นมาเยอะแล้วจึงทะยอยขายทำกำไรในขณะที่หุ้นดูเหมือนว่า ยังแข็งแกร่งอยู่
สิ่งที่ต้องพึงระวังคือ ในช่วงที่ 3 นี้จะเป็นเวลาที่หุ้นสามารถขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ได้ ข้อสังเกตคือจะมีความผันผวนขึ้นมากเมื่อเปรียบเทียบกับระยะที่ 2
การประมาณกำไรที่คาดหวังไว้สูงๆก่อนหน้าจะเริ่มดูเหมือนว่าบริษัทจะไม่ สามารถทำไปได้ถึง ในความเป็นจริงคือ "บริษัทนั้นไม่สามารถจะทำกำไรให้เพิ่มขึ้นทันตามความคาดหวังของนักลงทุนได้ ตลอดไป" และแล้ว EPS ก็จะเริ่มปรับตัวลดลง ทั้งนี้ราคาหุ้นจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ลดลงก่อนที่จะมีการประกาศผลกำไร หรืออัตราการเติบโตของกำไรอาจลดลงมาก่อน 2-3 ไตรมาส ก่อนที่จะมีการปรับตัวลงอย่างชัดเจนของราคาหุ้น
ลักษณะของหุ้นระยะที่ 3
- ความผันผวนมากขึ้น หุ้นจะปรับตัวขึ้นๆลงๆในวงรอบที่กว้างขึ้น แม้ว่าภาพรวมของราคาหุ้นจะดูเหมือนกับระยะที่ 2(หุ้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น) แต่การเคลื่อนไหวของราคาจะเริ่มไม่มีแนวโน้มที่แน่นอน
- โดยปรกติจะมีการเกิดการร่วงลงอย่างมากของราคาพร้อมวอลุ่มที่หนาแน่นมากขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นวันที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมากที่สุดนับจากวันที่ระยะที่ 2 เกิดขึ้น ส่วนกราฟรายสัปดาห์ ราคาหุ้นอาจจะปรับตัวลงมาอย่างมากเช่นเดียวกันหลังจากที่เคลื่อนตัวจากระยะ ที่ 2 และการลดลงของราคานี้มักจะมาพร้อมกับวอลุ่มที่เยอะมากๆ
- ราคาหุ้นอาจตัดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200-day ราคาหุ้นจะขึ้นๆลงๆอยู่แถวๆเส้นค่าเฉลี่ย 200-day ซึ่งเป็นเรื่องปกติของหุ้นในระยะที่ 3 ที่จะเด้งอยู่แถวเส้น 200-day ไปมาอยู่อย่างนั้น
- เส้นค่าเฉลี่ย 200-day จะสูญเสียแนวโน้มขาขึ้น แต่จะออกข้างและจะเข้าสู่แนวโน้มขาลง (ให้สังเกตที่ slope ของมัน)