ถอดเทปสัมภาษณ์ชีวิตคุณครูไม่ใหญ่ (ตอนที่ 2) หน้า 05

มีอยู่คราวนึงนั่งรถมา อยากจะรู้ว่า เอ๊ รถมันชนกันนี่มันชนกันยังไงก็ไม่รู้นะ เอ๊ นึกๆงั้นทำไมนึกๆยังไงก็ไม่ทราบว่า หลับตานึกไปเรื่อยๆ เอ๊ รถชนกันยังไง เวลาประสบอุบัติเหตุมันเป็นยังไง นึกแล้วก็ลืม แหม นึกนี่นะ ถ้าเราไปนึกในระดับ ในแหล่งของจิตที่มีพลังที่มันเป็นไปได้นี่ วื้ด ไปเลยนะ เหมือนพระอาจารย์ฟั่นนึกว่า เอ๊ รถมันเดินไปได้ยังไง แล้วเพ่งจิตเข้าไปในไอ้เครื่องจักรของรถ เครื่องเลยหยุด แต่หลวงพ่อไม่ได้นึกอย่างงั้น หลวงพ่อนึกว่ารถมันชนกันยังไง อุบัติเหตุมันเกิดยังไง นึกได้ประมาณซักไม่กี่นาทีน่ะ มีความรู้สึกว่ารถเสียหลัก ลืมตามาอีกทีนึง โครม พอมันจะมาถึงหลวงพ่อมันก็หยุด คนร้องโอยๆๆ แต่คงไม่ใช่เพราะหลวงพ่อนึกหรอก กรรมของพวกนั้นน่ะ โอยๆๆ ที่หน้าวัดราชาฯ หัวมุมน่ะ เดี๋ยวนี้มันเป็นอะไรก็ไม่รู้ ตอนนั้นเป็นร้านก๊วยเตี๋ยว พรวดเข้าไปเลย กระเด็นหลุดลงมา ไม่เป็นอะไรก็มีอยู่ ๓ คน ผู้หญิงข้างๆคน แต่เค้าเป็นลมกับกระเป๋าหลังกระเด็นหล่นไป แล้วก็ลงท่อ ลงมาจากรถแล้วใจก็ยังเฉยๆเป็นปกติ ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้คิดอะไรแม้แต่นิดเดียว สงสารก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี มันเฉยๆ ขึ้นรถต่อแล้วก็ไปนั่งธรรมะ แล้วก็ไม่ได้คิดอะไร ทำไมไม่ได้คิดอะไรหลวงพ่อก็แปลกใจ อารมณ์มันไม่เข้าไปแทรกเลย เนี่ยถึงบอกเมื่อกี๊ว่ามันเข้าได้ทีละอย่าง ถ้ามันเป็นธรรมะมันเป็นบุญล้วนๆแล้ว อะไรต่างมันก็ไม่เข้ามาแทรก มันมีแต่ธรรมะมันมีแต่บุญอยู่ข้างใน แปลกอย่างงี้

..หืม..อ้า..สงสัยยังไง [เสียงอุบาสิกาถาม]... พอสำเร็จการศึกษาแล้วก็คิดว่า เรื่องจริงกำลังจะเกิดต่อจากนี้เป็นต้นไป เรื่องเล่นไม่มีแล้ว ต่อจากนี้ไปเป็นชีวิตจริงๆที่เราจะต้องเริ่มทำตามมโนปณิธานที่เราได้ตั้งเอาไว้ ว่าเกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายของชีวิต สำหรับชีวิตของหลวงพ่อที่เกิดมา เกิดมาเพื่อที่จะมาปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรม แล้วก็จะปรับปรุงจิตใจของชาวโลกให้เข้าถึงธรรมกายด้วย และจะขนทุกคนเนี่ยให้เข้าไปสู่ฝั่งพระนิพพาน อันนี้คือส่งที่หลวงพ่อจะต้องทำ คือปรับปรุงทุกคนให้เข้าถึงธรรมกายให้หมด แล้วพาทุกคนเข้าถึงฝั่งพระนิพพาน เพราะฉะนั้นหน้าที่จริงเกิดขึ้นหลังจากจบมหาลัยแล้ว ชีวิตจริงกำลังจะเริ่มต้นจากจุดนั้นแล้ว ก่อนบวชสามเดือนนั่น หลวงพ่อมองเห็นโลกเนี่ย มันเหงาแต่มันไม่ใช่เซ็งนะ มันเหงามันไม่มีอะไร มันเหมือนกองไฟกองใหญ่ๆ ไปที่ไหนมันไม่มีความสุข มันเบื่อๆอยากจะพ้นจากโลกนั้นน่ะ ทุกหนทุกแห่งที่เราเคยสนุกสนานร่าเริงมันไม่มีความสุขเลย ไม่มีความสนุก เบื่อไปหมดเลย แล้วก็ในที่สุดก็บวชเอาในวันที่ ๒๗ ส.ค. ๒๕๑๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๙ หลวงพ่อมักจะทำอะไรในวันเพ็ญเต็มดวงทุกที เพราะว่ามีความรู้สึกว่าวันนั้นเป็นวันที่สว่างทั้งกลางวันและกลางคืน ชีวิตเราจะสว่างสดใสถ้าหากว่าเราได้เริ่มกิจที่สำคัญของชีวิตในวันเพ็ญ และยังนึกถึงปฏิปทาของพระพุทธเจ้าที่ผ่านมา ความสำเร็จของท่านมักจะเกิดขึ้นในคืนวันเพ็ญเสมอ จะเพ็ญเดือนไหนก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นเนี่ยกิจอะไรต่างๆก็มาจากนี่ แม้แต่ใครจะมาขอฤกษ์ตั้งบ้าน ฤกษ์อะไรต่ออะไรสารพัด ยกเว้นฤกษ์แต่งงานน่ะ วันเพ็ญหมดเลย หลวงพ่อจะให้เค้าวันเพ็ญหมด มันเป็นวันที่สว่างทั้งกลางวันทั้งกลางคืน มันเป็นวันที่หาได้ยากทีเดียว สว่างตลอดเวลา เพราะฉะนั้นหลวงพ่อก็เลย .....[เทปตัด]

...ครูผู้หญิงที่ไม่รู้จักกันมาช่วยกันทำดอกไม้น่ะ.... ว่า "เสียดาย บวชทำไมยังหนุ่ม ยังไม่ได้คุยกันเลย น่าเสียดาย" โฮๆๆๆ พอเพื่อนผู้หญิงไปถามว่าร้องทำไมเนี่ย "เสียดาย" แหม เสียดายอะไรน้า ยังไม่ได้รู้จักกันเลยเนี่ย โยมก็เสียดายไปอีกแบบ มีคน[ร่วมงาน]บวชอยู่แค่ ๒๐ กว่าคนมั้ง ไม่เหมือนหลวงพ่อทัตตะบวช คนเต็มวัดเลย ทุกองค์ี่ที่บวชตั้งแต่หลวงพ่อทัตตะจนกระทั่งถึงบัดนี้ คนเต็มวัดเลย มีหลวงพ่อธัมมะองค์เดียวบวชมี ๒๐ คน โหเดิน........กัน เป็นองค์สุดท้ายของวัดปากน้ำฯ แต่ก่อนเค้ายังมีโปรยทาน โปรยทานก็ไม่มีคนมาแย่ง เก็บก็ไม่เก็บ เค้าก็เฉยๆ เด็กเดิกก็ไม่เห็นมันมาแย่งอะไรกันเลย ตั้งแต่นั้นมาวัดปากน้ำฯก็เลยห้ามโปรยทาน ฝร่งฝรั่งขึ้นเรือมาเพื่อมาดูก็เฉยๆ โปรยทานน่ะ คนสุดท้ายโปรยทานของวัดปากน้ำฯ โยมน้าจะเอากลองยาวมาเล่นรอบโบสถ์ บอกไม่เอาๆ (หัวเราะ) แล้วก็ได้บวชในวันนั้น พอเข้าโบสถ์เข้าเท่านั้นแหละ โอ้ ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปเลย ไอ้ตอนเข้าโบสถ์ พอเข้าโบสถ์ในตอนนั้นน่ะ ความสมบูรณ์ของชีวิตก็เต็มเปี่ยมในวันนั้นเอง ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๙ ความสมบูรณ์อะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นในวันนั้นทั้งหมดเลย แล้วคุณยายท่านก็เลยเรียกหลวงพ่อไปอีกแบบนึง ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา คือระหว่างที่บวชเป็นพระครองผ้ากาสาวพัตร์แล้วเนี่ยนะ

[อุบาสิกาถาม] .... มันทราบมาเป็นขั้นตอนมาเรื่อยๆ ทราบมาเป็นขั้นตอนๆๆ จากหยาบมาละเอียดๆเรื่อย พอทราบในวันนั้นก็ทำให้สำนึกในหน้าที่ว่าเราจะต้องทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จให้ได้ แม้ว่าเราจะตายก็ยอม ไม่มีใครสู้ทำองค์เดียวก็เอา เพราะเราจะต้องเห็นในอันนี้ไปให้ได้ เพราะว่าสิ่งนี้น่ะไม่ใช่พึ่งจะมาทำเฉพาะชาตินี้ แต่ได้ทำมาแล้วหลายภพหลายชาตินับชาติภพไม่ถ้วนเลย ซึ่งเราก็จะต้องทำต่อไป นี่มันเป็นอย่างงี้แหละ ....เอ้า ถามมา หรือถามจนกระทั่งไม่มีอะไรจะถามแล้ว (หัวเราะ) [อุบาสิกาถาม]... ยังนึกไม่ออก.. ได้ .. คงไม่มี... ไม่มีสิ่งอัศจรรย์ แต่มีแต่โยมยังไม่อยากให้บวช แต่เดี๋ยวนี้บอก "อู้ย โยมสนับสนุน" (หัวเราะ) "โอ้ย ท่านเข้าใจผิด สนันสนุนมาตลอด" แต่ตอนนั้นไม่ใช่อย่างงั้นน่ะ เข้าไปหาโยมพ่อ คืนนั้นโยมพ่อนอนไม่หลับ คุยกับโยมพ่อ จะบวช  นอนไม่หลับ ร้องไห้ทั้งคืน โยมพ่อไม่เคยเชื่อหมอดูเล้ย นึกยังไงก็ไม่รู้ไปดูกับโยมแม่ เกิดมาก็เพิ่งเห็นครั้งนั้นแหละ โยมพ่อไปดูหมอ ไม่ได้ดูตัวเองอะ ดูให้ลูกชาย หมอพูดมาได้ "อย่าให้บวชนะ บวชแล้วไม่สึกเนี่ย ชีวิตท่านจะต้องดำเนินเหมือนพระพุทธเจ้า" โหย เลยนอนไม่หลับเลยโยมนอนไม่หลับ หมอนั่นก็ไม่ได้เรื่องเลยพูดไปได้ ไปเจาะใจดำเข้าอย่างงั้นน่ะ นอนไม่หลับ และตอนเช้าก็บอกว่า "พ่อ พาไปกราบพระอุปัชฌาย์ด้วยนะ" อย่างงั้นอย่างโง้นอย่างงี้อะไรไปเรื่อย จนกระทั่งหลวงพ่อเดินไปก่อน ท่านก็เดินตามมาเรื่อยๆ บ่นไปเรื่อย บ่นเผื่อให้เราฮึดฮัด แต่วันนั้นใจเป็นปกติ ไม่สะเทือนอะไรเลย ไม่หวั่นไหวไม่สะเทือนไม่สงสารท่าน ไม่น้อยใจไม่โกรธไม่ขัดเคืองไม่ไม่พอใจ ใจมันเฉยๆ เฉยแบบอิ่มในบุญที่จะได้บวชพระอะนะ แล้วไม่ได้คิดเรื่องอื่น ใจมันเข้ามาได้ที่ละอย่าง

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘