ถอดเทปสัมภาษณ์ชีวิตคุณครูไม่ใหญ่ (ตอนที่ 2) หน้า 01

แต่มีอยู่วิชชานึงยายท่านสอนวิธีตั้งธาตุดึงดูด เราจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้เราจะให้คนมาเราก็ตั้งธาตุดึงดูด ปั๊บมันก็วื๊ด เดี๋ยวก็มา พอเราตั้งธาตุดึงดูดมันดูดมาเลย มันจะมีกระแสเหมือนกระแสคลื่นแม่เหล็กนั่นแหละ ที่จะไปดึงดูดกระแสใจของมนุษย์ที่แผ่ซ่าน แต่พอเวลาดูดมันดูดมาวื้ดมารวมกัน ก็จะมา เพื่อนก็มาขอร้อง ขอร้องให้ (หัวเราะ) ..เล่านะ... (หัวเราะ) เล่าแล้วคงเขียนไม่ได้..นะ [เสียงอุบาสิกาพูด] เออ..ให้เล่นปาหี่ ปาหี่นี่หลวงพ่อเก็บสะสมความรู้ปาหี่มาตั้งแต่เด็ก เพราะตอนเด็กๆไม่รู้จะไปไหนนอกจากไปสนามหลวง ไปสนามหลวงก็ต้องไปเห็นพวกเล่นกล ก็ต้องไปดูเค้านะว่าเค้าเล่นยังไง เค้าทำยังไง เค้าพูดยังไง พวกเล่นกลนี่เค้ามีคำเฉพาะของเค้าอยู่นะ เหมือนวงธรรมะก็มีคำของวงธรรมะ แม่ค้าก็มีคำของแม่ค้า ครูบาอาจารย์ก็มีคำของครูบาอาจารย์ นักธุรกิจก็มีคำของนักธุรกิจ นักปาหี่เค้าก็มีคำของเค้าโดยเฉพาะ ...[เสียงหาย]... ความรู้อันนั้นมาตลอด และในที่สุดได้มาใช้กันจริงๆ ไอ้ความรู้อันนั้นน่ะ เราอย่าไปดูหมิ่นนะไอ้ความรู้ต่างๆที่เราได้เรียนมา เป็นเหตุให้หลวงพ่อพบกัลยาณมิตรใหญ่ คือหลวงพ่อทัตตะ เพราะปาหี่เป็นเหตุ

เพ็ญ ๑๒ อ้า..เพ็ญเดือน ๑๒ วันลอยกระทง มหาลัยเกษตรศาสตร์เค้าจัดงาน ๔ ปีมีครั้งนึง ปีนั้นบังเอิ๊ญมันมีงานครบ ๔ ปี ถ้าหากว่าไม่ครบ ๔ ปีนะก็คงไม่ได้รู้จักหลวงพ่อทัตตะ เพื่อนก็มาชวนให้ไปเล่นปาหี่ ตั้งวงใกล้ๆกับวงสุนทราภรณ์ วงดนตรีสุนทราภรณ์น่ะ ก็ตั้งวงกัน วงปาหี่มันก็มีหน้าม้า เพื่อนๆเค้าก็รับอาสาว่าจะเป็นหน้าม้า มันก็แยกกัน มันก็พิลึกเหมือนกันน่ะ เล่นกลน่ะหลวงพ่อเล่นไม่เป็นหรอก แต่จำคำเค้าได้ ไอ้คำของเค้ามันเร้าใจ คำของเค้ามันชวนให้สนุก แล้วเราก็ตอนแรกก็จำเค้ามาเป็นแม่บท ตอนหลังเราก็แอ๊พพลาย ตัดนั่นเติมนี่ต่อนั่นแล้วมันก็เป็นคำของเราไปเลย แต่มันเป็นศัพท์เฉพาะ ศัพท์เทคนิคเฉพาะของเค้าไปเลยซึ่งเร้าอารมณ์ ปรากฎว่าวงดนตรีสุนทราภรณ์มีคนดู ๒ คน (หัวเราะ) เหลืออยู่สองคนเท่านั่นล่ะ คือหลวงพ่อทัตตะกับอาจารย์คนหนึ่ง นอกนั้นมารวมกันอยู่ที่วงปาหี่หมด รวมทั้งนักร้องสุนทราภรณ์ (หัวเราะ) ก็แห่มาหมดเลย เค้ามากันหนะ ที่นี้มันก็...ตอนนั้นเราตั้งธาตุดึงดูดไง วื้ด

หลวงพ่อทัตตะท่านก็เอ๊ะ..ไปไหนกันหมดนะ (หัวเราะ) ท่านก็เดินมาที่วงปาหี่เห็นคนเยอะๆ แทรกฝูงชนเข้ามาแล้วก็มายืนอยู่ข้างหน้า กอดอก เสื้อลาย..เค้าเรียกว่าลายสก๊อตหรือลายขะม้าหรือลายหมากรุก จะใช้คำว่าอะไรดี มันเป็นลายเป็นตาๆสีแดงสลับกันไปอย่างนั้นไม่รู้มันเรียกว่าอะไร ลายสก๊อตลายอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็กางเกงยีนส์สีดำ ซึ่งทราบชื่อต่อมาในภายหลัง ท่านตั้งชื่อของท่านมีกางเกงตัวเก่งอยู่สองตัว กวนอู กับ เตียวหุย ท่านตั้งชื่ออย่างงั้น แต่วันนั้นใส่กวนอูหรือเตียวหุยก็ไม่ทราบ ยืนกอดอก ตอนนั้นหุ่นท่านไม่ใช่อย่างงี้นะ หุ่นท่านงามทีเดียว หน้าท้องนี่แฟ่บ ไม่หยดย้อยหยาดเยิ้มอย่างนี้หรอกน่ะ แล้วหุ่นสง่าเหมือนแซมซั่นอย่างงั้นน่ะ หุ่นท่านนี่สง่ามากเลย จนกระทั่งท่านเกิดความมั่นใจเลยตั้งคำขวัญว่า "[ฟังไม่ออก] never get fat" "ม้าศึกไม่อ้วน" (หัวเราะ) วิ่งไม่ได้ตอนนี้ เดี๋ยวนี้วิ่งไม่ได้แล้ว (หัวเราะ) ก็เลยเจอยืนอยู่นั่น ถึงเวลาก็เลิก พอเลิกก็ ท่านใช้คำอย่างนี้ท่านบอก "ไอ้น้อง" คำติดปากของท่านนะ ไอ้น้อง, ไอ้เสือ คำดุๆทั่งนั้นนะ แล้วเวลาเรียกไอ้น้องทีก็หัวเราะแบบเย้ยฟ้าท้าดินดังๆอย่างงั้นหนะ แล้วตาท่านเหมือนตาของพระเอกหนังกำลังภายในเลยนะ ตอนนั้นนะ ที่เค้าเรียกกันว่า เย็นชา พอเรียกท่านปั๊บแล้วท่านจะหันขวับ ป๊าบ แล้วก็ถากออกไป ๒ เมตรเหมือนเตรียมรับอะไรอย่างงั้นน่ะ ขว๊าบอย่างงั้น แล้วยืดอกนิดๆ จรดท่าแบบย่างสามขุม วันนั้นท่านก็เรียก "ไอ้น้อง" แล้วตบบ่าทีแรงโอ้โห ท่านคงนึกว่าท่านตบเค้าได้แรง รุ่นน้องไม่กล้าไปตบบ่าท่าน (หัวเราะ)

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘