พระบรมพุทธเจ้า

ก่อนที่จะรู้ว่า พระบรมพุทธเจ้าคือใคร ต้องรู้ก่อนว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือใคร พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก่อนนั้นก็คือคนธรรมดาๆ เหมือนอย่างกับเรานี่เอง แต่เมื่อได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารนานเข้าๆ ก็เกิดปัญญา ว่า ที่จริงโลกเรานี้ แท้จริงมันคือกรงขังเราดีๆ นี่เอง และรู้ด้วยว่า ชีวิตที่เกิดมาล้วน เวียนตายเวียนเกิดไม่มีวันจบสิ้น ชีวิตที่เกิดมาล้วนประสบแต่ทุกข์ทรมานแสนสาหัส ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วไม่มีทุกข์เลย

แต่ด้วยปัญญาบารมี ก็คิดได้ว่า ปกติสิ่งต่างๆ ในโลกล้วนมีสิ่งที่เป็นตรงกันข้ามคอยแก้กันเสมอ เมื่อมีทุกข์ ก็ควรจะมีหนทางพ้นทุกข์หรือหนทางแห่งความสุขนั่นเอง แต่ในขณะนั้นท่านก็ไม่รู้หรอกว่า หนทางพ้นทุกข์นั้นเรียกว่าอะไร เพียงแต่มั่นใจว่าจะต้องมีแน่นอน และนอกจากมีใจคิดจะหาทางพ้นทุกข์ด้วยตัวเองแล้ว ยังมีจิตใจมหากรุณากว้างใหญ่ อยากช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ไปด้วย นับตั้งแต่การตั้งมโนปนิธาน ว่าจะหาทางพ้นทุกข์และช่วยเหลือคนอื่นให้พ้นทุกข์ด้วย นั่นคือวันแรกที่เป็น "พระโพธิสัตว์" (สัตว์ที่ปรารถนาโพธิญาณ)

นับตั้งแต่เริ่มตั้งใจเป็นพระพุทธเจ้า ตอนแรกแค่คิดอยู่ในใจก่อนยังไม่บอกใครแต่ก็มุสร้างความดี สร้างบุญบารมี เรื่อยไป ทำบุญแต่ละครั้งก็อธิษฐานให้ได้บรรลุพระโพธิญาณ มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ทำอย่างนี้อยู่ ๗ อสงไขยกัปป์ จากนั้นเมื่อกำลังใจมากขึ้น จึงเริ่มชักชวนให้คนอื่นทำความดีตาม และประกาศว่าตนเองปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า ทำอย่างนี้อีก ๙ อสงไขยกัปป์ ครบ ๑๖ อสงไขยกัปป์ ก็จะพบพระพุทธเจ้าในอสงไขยนั้น ท่านก็จะพยากรณ์ให้ว่าต่อไปอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปป์ จักได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน รวมเวลาทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าต้องสร้างบารมี อย่างน้อยที่สุดคือ ๒๐ อสงไขยกับแสนมหากัปป์ เรียกพระพุทธเจ้า แบบนี้ว่า พระพุทธเจ้า แบบ ปัญญาธิกะ

ส่วนพระพุทธเจ้า ที่สร้างบารมีมากกว่านี้ ยังมีอีก พระพุทธเจ้าที่สร้างบารมี ๔๐ อสงไขยแสนกัปป์ เรียกว่า พระพุทธเจ้าแบบศรัทธาธิกะ พระพุทธเจ้าที่สร้างบารมี ๘๐ อสงไขยแสนกัปป์ เรียกพระพุทธเจ้า แบบ วิริยะธิกะ

(กัปป์หนึ่ง นั้นยาวนานแคไหน หนึ่งกัปป์คือ เป็นเวลาที่โลกเริ่มเกิดขึ้นจากกลุ่มหมอกเพลิงแล้วตั้งอยู่ จนกระทั่งโลกถูกทำลายไปเป็นกลุ่มหมอกเพลิงอีกครั้ง ท่านอุปมาไว้ว่า เปรียบเหมือน ภูเขาหินแท่งทึบ กว้าง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์ หนา ๑ โยชน์ ( ๑ โยชน์ เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร) ใน ๑๐๐ ปีทิพย์ (๑ ปีทิพย์ เท่ากับ ๑๐๐ ปีมนุษย์) มีเทวดา เอาผ้าบางเหมือนควันไฟมาลูบภูเขาหินหนึ่งครั้ง ลูบไปจนกระทั่งภูเขาหินสึกแบนราบกับพื้นดิน เวลา ๑ กัปป์ ยาวนานกว่านั้น ส่วนอสงไขยแปลว่านับไม่ถ้วน มีบางท่านกล่าวกว่า ๑ อสงไขย หากเขียนเป็นตัวเลข จะเท่ากับ เลข ๑๐ ที่ตามด้วยเลขศูนย์ ๑๔๐ ตัว ดังนั้น ๑ อสงไขยกัปป์ จึงไม่อาจจะประมาณระยะเวลาได้ว่ายาวนานซักเพียงใด)

ตามตำราพระไตรปิฏกกล่าวถึงการสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ว่าอย่างนั้น ซึ่งจากพระไตรปิฏกเราก็ได้ทราบว่า พระพุทธเจ้านั้นก็ไม่ได้มีแค่พระองค์เดียวคือ พระสมณะโคดม พระองค์เดียวนี้เท่านั้น เฉพาะในกัปป์นี้ ก็มีพระพุทธเจ้าถึง ๕ พระองค์ (องค์ปัจจุบันเป็นองค์ที่ ๔) องค์ที่ ผ่านมาแล้ว คือ พระพุทธเจ้ากกุสันธะ พระพุทธเจ้าโกนาคมน์ พระพุทธเจ้ากัสสป ส่วนองค์ที่จะมาตรัสรู้เป็นองค์ถัดไปคือ พระพุทธเจ้าศรีอริยเมตตรัย หรือ พระศรีอาริย์ที่เรารู้จักกันดี

นอกจากนั้นพระพุทธเจ้าที่ปรากฏชื่ออยู่ในพระไตรปิฏก ที่พระพุทธเจ้าองค์นี้ได้พบเจอขณะสร้างบารมีเป็น พระโพธิสัตว์ ยังมี พระพุทธเจ้าทีปังกร พระพุทธเจ้าโกณฑัญญะ พระพุทธเจ้ามังคละ พระพุทธเจ้าสุมนะ พระพุทธเจ้าเรวตะ พระพุทธเจ้าโสภิตะ พระพุทธเจ้าอโนมทัสสี พระพุทธเจ้าปทุมะ พระพุทธเจ้านารทะ พระพุทธเจ้าปทุมุตระ พระพุทธเจ้าสุเมธะ พระพุทธเจ้าสุชาตะ พระพุทธเจ้าปิยทัสสี พระพุทธเจ้าอัตถทัสสี พระพุทะเจ้าธัมมทัสสี พระพุทธเจ้าสิทธัตถะ พระพุทธเจ้าติสสะ พระพุทธเจ้าปุสสะ พระพุทธเจ้าวิปัสสี พระพุทธเจ้าสิขี พระพุทธเจ้าเวสสภู ซึ่งแสดงว่า นับตั้งแต่มีสังสารวัฏฏ์เกิดขึ้น ล้วนมีพระพุทธเจ้าบังเกิดมาแล้วมากมาย พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้มาแต่เก่าก่อนโบราณกาลดึกดำบรรพ์ ก็มีมามากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งพระพุทธเจ้าเหล่านั้น ได้เป็นพระพุทธเจ้าไปก่อน แสดงว่าท่านได้รู้ตัวก่อน เกิดปัญญาก่อน สร้างบารมีก่อน ซึ่งบารมีที่ท่านสั่งสมก็เลยมากมายตามไปด้วย

ในทางวิขขาธรรมกาย ผู้ที่มีญาณทัสสนะแก่กล้า ก็จะสามารถไปพบเห็นพระพุทธเจ้า องค์ที่บารมีแก่ๆ เหล่านี้ได้ ท่านเป็นพระพุทธเจ้าที่มีบารมีมาก จนปรินิพพานไม่เหมือนกับพระพุทธเจ้าธรรมดาทั่วๆไป ตามปกติพระพุทธเจ้าโดยทั่วไป จะเข้านิพพานโดยการถอดกายเนื้อหรือทิ้งซากกายมนุษย์ไว้กับโลก แล้วจึงเอาแต่ธรรมกายไปอยู่ในอายตนนิพพาน แต่พระพุทธเจ้าที่บารมีแก่ๆนี้ จะเข้านิพพานไปทั้งกายมนุษย์โดยไม่ต้องถอดกายเลย พระพุทธเจ้าประเภทนี้เรียกว่า "พระบรมพุทธเจ้า" ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าที่ยิ่งใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ผู้ใดที่ส่งใจระลึกถึงพระบรมพุทธเจ้า พระบรมพุทธเจ้าก็จะส่งบุญ บารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ มาให้ จากพระนิพพาน จะประสงค์สิ่งหนึ่งประการใดที่เป็นกุศล ก็จะสำเร็จได้โดยง่าย โดยการส่งใจถึงท่านนั้น ทำได้วิธีเดียวคือโดยการนึกน้อมท่านมาไว้สถิตอยู่ ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ พร้อมทั้งภาวนา "สัมมา อะระหังๆๆ" จนกระทั่งเห็นองค์พระบรมพุทธเจ้า ชัดเหมือนลืมตาเห็น จากนั้นอธิษฐานสิ่งใด ก็จะสำเร็จได้โดยง่าย

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘