วันวิสาขบูชา วันสำคัญสากลโลก

วิสาขบูชา
วันสำคัญสากลโลก

“เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวงรู้ธรรมทั้งปวง อันตัณหาและทิฏฐิ ไม่ฉาบทาแล้ว ในธรรมทั้งปวงละธรรมเป็นไปในภูมิสามได้หมด พ้นแล้วเพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา เราตรัสรู้ยิ่งเองแล้ว จะพึงอ้างใครเล่า อาจารย์ของเราไม่มี คนเช่นเราก็ไม่มี บุคคลเสมอเหมือนเราก็ไม่มี ในโลกกับทั้งเทวโลก เพราะเราเป็นพระอรหันต์ในโลก เราเป็นศาสดา หาศาสดาอื่นยิ่งกว่ามิได้ เราผู้เดียวเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เราเป็นผู้เย็นใจ ดับกิเลสได้แล้ว เราจะไปเมืองในแคว้นกาสี เพื่อประกาศธรรมจักรให้เป็นไป เราจะตีกลองประกาศอมตธรรมในโลกอันมืด เพื่อให้สัตว์ได้ธรรมจักษุ”
การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ เปรียบเสมือนดวงสุริยาที่ทอแสงให้ความสว่างในชีวิตแก่สรรพสัตว์ทั้งปวงโดย ไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง พระพุทธองค์เสด็จมาเพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งหลาย
เนื่องในวันวิสาขบูชา เป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในฐานะชาวพุทธ ผู้เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี ก็ต้องมาระลึกนึกถึงพุทธคุณอันไม่มีประมาณ ที่พระองค์ทรงเป็นต้นบุญต้นแบบในการสร้างบารมีให้กับพวกเรา เพราะ ถ้าไม่มีวันนี้ ก็จะไม่มีการบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โลกก็จะไม่มีพระพุทธศาสนา เราก็จะไม่ได้เป็นชาวพุทธ และก็จะไม่รู้จักหนทางแห่งการดับทุกข์ ไปสู่เอกันตบรมสุขในอายตนนิพพาน หรือแม้วิธีการที่จะไปสู่สุคติ โลกสวรรค์ เราก็จะไม่รู้จักกันเลย
สร้างบารมี
การจะพรรณนาพุทธคุณด้วยเวลาอันสั้นนั้น เปรียบไปแล้วก็เหมือนปริมาณน้ำที่ลอดรูเข็ม เมื่อเทียบกับน้ำในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระคุณอันยิ่งใหญ่ ต่อสัตว์โลกตั้งแต่สมัยที่สร้างบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านคิดที่จะตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง และก็สั่งสอนสัตว์โลกทั้งหลาย ทั้งมนุษย์และเทวา ให้ได้บรรลุธรรมตาม เมื่อคิดแล้ว ก็ลงมือทำไปด้วย ตั้งใจสร้างบารมี ๓๐ ทัศน์เรื่อยมา ทั้งทรัพย์ อวัยวะและก็ชีวิต นับครั้งไม่ถ้วน ยาวนานถึง ๒๐ อสงไขยแสนมหากัป จนบารมีของท่านเต็มเปี่ยม ได้มาเสวยทิพยสมบัติอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต เป็นท้าวสันดุสิต ปกครองสวรรค์ชั้นดุสิต เพื่อรอเวลาอันควร
เมื่อถึงกาลสมัยอันควรที่จะมาตรัสรู้ เทวดา พรหม อรูปพรหม ทั่วหมื่นโลกธาตุ ตลอดภพสามก็มาประชุมพร้อมกัน และก็อัญเชิญพระองค์ลงมาบังเกิดในโลกมนุษย์ ซึ่งท่านก็จะตรวจตราดู ปัญจมหาวิโลกนะ คือ ดูทวีป ประเทศ อายุขัยของมนุษย์ยุคนั้น ดูตระกูลที่มนุษย์ยกย่องว่าเป็นเลิศในโลก และก็ดูพุทธมารดา ตรวจตราดูแล้วเห็นว่า เป็นการที่เหมาะสมจะได้มาเกิดในชมพูทวีป ในมัชฌิมประเทศ ในยุคที่มนุษย์มีประมาณ ๑๐๐ ปี เกิดในขัตติยตระกูล และทรงกำหนดเอาพระนางสิริมหามายาเป็นพุทธมารดา จากนั้นจึงรับอาราธนา และก็อธิษฐานจิตลงมาเกิดในโลกมนุษย์
วันประสูติ
ย้อนไปก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี ณ สวนลุมพินี ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ และกรุงเทวทหะ พระจันทร์เสวยฤกษ์วิสาขะ ตรงกับวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ วันนี้ นับเป็นวันที่รูปกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นบนผืนโลก
พระนางสิริมหามายาผู้เป็นพุทธมารดา เมื่อทรงตั้งครรภ์ ด้วยความที่พระนางทรงรักษาศีลและฝึกสมาธิมามาก ทำให้ทรงเห็นพระโพธิสัตว์ที่อยู่ในครรภ์กำลังนั่งขัดสมาธิอย่างชัดเจน เหมือนอย่างกับพระโพธิสัตว์นั่งสมาธิอยู่นอกพระครรภ์ ครั้นถึงคราวพระโพธิสัตว์จะประสูติปรากฏว่า พระพุทธมารดาทรงประทับยืน แทนที่จะนอนเหมือนอย่างกับคนอื่นๆ แล้วพระโพธิสัตว์ประสูติโดยเอาพระบาทออกมาก่อน ประดุจพระธรรมกถึกหย่อนขาขวาลงจากธรรมาสน์ ทันทีที่พระบาทเหยียบถึงพื้น ก็สามารถยืนและเดินได้เลยทันที นับเป็นอัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้นได้ยาก
เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติและยืนได้ถนัดแล้ว ทรงเปล่งอาสภิวาจาที่ทรงยืนยันถึงวัตถุประสงค์ในการเกิดอย่างชัดเจนว่า
“เราเป็นผู้เลิศ ผู้เจริญ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ไม่มีแก่เราอีกแล้ว”
ขณะที่พระโพธิสัตว์กำลังประสูตินั้น ได้บังเกิดความสว่างไสวขึ้นในโลกและไกลไปถึงหมื่นโลกธาตุ บุพนิมิต ๓๒ ประการปรากฏขึ้น ในหมื่นจักรวาลได้มีแสงสว่างสุดจะประมาณแผ่ซ่านไป พวกคนตาบอดต่างก็มองเห็นได้ พวกคนหูหนวกก็ได้ยินเสียง พวกคนใบ้ก็พูดได้ พวกคนค่อมก็มีตัวตรงขึ้น คนง่อยเปลี้ยเสียขาก็เดินด้วยเท้าได้ สัตว์ทั้งปวงที่ถูกจองจำก็พ้นจากเครื่องพันธนาการ ไฟในนรกทุกแห่งก็ดับ ในเปรตวิสัยความหิวกระหายก็สงบระงับ เหล่าสัตว์เดียรัจฉานก็ไม่มีความกลัวภัย โรคและไฟกิเลสมีราคะเป็นต้นของสัตว์ทั้งปวงก็สงบระงับ นี่ก็นับเป็นความมหัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้นได้ยากในโลกแท้ !!!
ครั้นพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น ก็ศึกษาความรู้จากครูที่มีความรู้อันสูงสุดของแผ่นดิน ท่านใช้เวลาเพียงแค่ ๗ วันเท่านั้น ก็เรียนจนหมดภูมิความรู้ของครูที่อุตสาหศึกษามาตลอดชีวิต แม้พระองค์จะทรงพรั่งพร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติและคุณสมบัติ แต่ก็ไม่ประมาทในชีวิต ครั้นได้ทอดพระเนตรเทวทูต คือ เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และก็เห็นสมณะ ก็คิดได้ว่า ต้องเลือกชีวิตสมณะ เพราะเป็นชีวิตที่ประเสริฐที่สุด ที่จะมุ่งไปสู่หนทางพ้นทุกข์ ท่านจึงเสด็จออกผนวชเมื่อได้ ๒๙ พรรษา และได้ทรงม้ากันฐกะ ออกผนวชที่ริมฝั่งแม่น้ำ เนรัญชรา

วันตรัสรู้

หลังจากได้บำเพ็ญเพียรมายาวนานถึง ๖ ปี ภายใต้ต้นอัสสัตถพฤกษ์ ในวันนั้น พระบรมโพธิสัตว์ได้ทรงนั่งคู้อปราชิตบัลลังก์ซึ่งแม้สายฟ้าจะผ่าลงตั้ง ๑๐๐ ครั้งก็ไม่แตกทำลาย โดยทรงอธิษฐาน
“แม้เลือดและเนื้อในกาย จักแห้งเหือดเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตาม
ตราบใดที่เรายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ
ได้รู้ ได้เห็นธรรมอันยิ่งแล้ว
จักไม่ยอมลุกจากบัลลังก์นี้เป็นอันขาด
จักนั่งอบรมกาย วาจา ใจ ให้ละเอียดถึงที่สุดให้ได้
พอพญามารรู้เข้า ก็สะดุ้งพรึบกันทั้งภพทีเดียว ได้เข้ามาสิงบังคับท้าวปรนิมมิตสวัตดี ให้เป็นเทวบุตรมาร แล้วก็พากันยกพลพักมารมาข่มขู่ มาอ้างสิทธิ์ว่า ที่ตรงนี้น่ะ เป็นที่ของพญามาร โดยมีเสนามารพร้อมด้วยพรรคพวกของตัวมาร พระโพธิสัตว์ท่านก็ไม่หวั่นไหว ท่านนั่งทำใจหยุดใจนิ่งอย่างเดียว ในที่สุดพระองค์ก็สามารถเอาชนะได้ ด้วยอานุภาพแห่งบารมีธรรม ที่สั่งสมมาอย่างดีแล้ว
พระมหาบุรุษทรงพิจารณาปัจจยาการอันประกอบด้วยองค์ ๑๒ โดยอนุโลมและปฏิโลม หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว ๑๒ ครั้ง จนจรดน้ำรองแผ่นดินเป็นที่สุด พระมหาบุรุษได้ทรงบรรลุสัพพัญญุตญาณ ในเวลาอรุณขึ้น
เมื่อพระมหาบุรุษทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว โลกันตนรกกว้าง ๕๐๐ โยชน์ในระหว่างจักรวาลทั้งหลาย ไม่เคยสว่างด้วยแสงพระอาทิตย์ ๗ ดวง ก็ได้มีแสงสว่างไสวเป็นอันเดียวกัน มหาสมุทรลึก ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ได้กลายเป็นน้ำหวาน แม่น้ำทั้งหลายหยุดไหล คนบอดแต่กำเนิดก็มองเห็นรูป คนหนวกแต่กำเนิดก็กลับได้ยินเสียง คนง่อยเปลี้ยแต่กำเนิดก็เดินได้ กรรมกรณ์ทั้งหลายมีเครื่องจองจำเป็นต้น ได้ขาดหลุดไป !! พระมหาบุรุษได้รับการบูชาจากเหล่าทวยเทพด้วยสมบัติอันประกอบด้วยสิริหา ปริมาณมิได้ ทรงเปล่งอุทานว่า
“เราเมื่อแสวงหานายช่างคือตัณหา ผู้กระทำเรือน
เมื่อไม่ประสบ ได้ท่องเที่ยวไปยังสงสารมิใช่น้อยการเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์
ดูก่อนนายช่างผู้กระทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักทำเรือนไม่ได้อีกต่อไป
ซี่โครงทั้งปวงของท่าน เราหักแล้ว ยอดเรือนเรากำจัดแล้ว
จิตของเราถึงวิสังขารคือนิพพานแล้ว เราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว”


เมื่อตรัสรู้แล้ว ก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเปี่ยมล้น อบรมพร่ำสอนชาวโลกให้ได้รู้และเห็นธรรมตามไปด้วย ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ๔๕ พรรษา พระพุทธองค์ต้องทรงดำเนินด้วยพระบาทเปล่า เสด็จจาริกไปเผยแผ่พระศาสนาตามดินแดนต่างๆ อย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ทรงแสดงธรรมประดุจหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือจุดประทีปในมืดเพื่อให้คนมองเห็น ทำให้มีสรรพสัตว์ได้บรรลุธรรมาภิสมัยเป็นอริยบุคคลมากมายนับไม่ถ้วน จากนั้นจึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน
วันปรินิพพาน

เมื่อทรงมีพระ ชนมายุได้ ๘๐ พรรษา และวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๑ ปี ณ ป่าสาลวัน เมืองกุสินารา วันนี้...เป็นวันที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน รูปกายที่ประกอบด้วยเลือดเนื้อแตกดับลง คงเหลือแต่พระธรรมกาย เสด็จสู่พระนิพพาน ก่อนจะเสด็จดับขันธ์นั้น ยังทรงมีมหากรุณาประทานปัจฉิมโอวาทแก่พุทธบริษัทว่า
"สังขารร่างกายของเราไม่เที่ยง มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด"
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยย่อ ซึ่งเป็นต้นแบบอย่างดีให้พวกเราได้ทำตาม พระองค์เป็นบรมครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกจากอดีตมาจนกระทั่งปัจจุบัน ดังนั้น ในวันเพ็ญเดือนหกของทุกปี จึงถูกเรียกว่า วันวิสาขปุณณมี เป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งยังไม่เคยปรากฏเลยในโลก ว่าจะมีศาสดาองค์ใด ที่มีวันประสูติ วันบรรลุธรรมและวันดับขันธปรินิพพาน เวียนมาตรงกันทั้ง ๓ วาระ เหมือนดังพระบรมศาสดาเอกของเราทั้งหลาย ทำให้องค์การสหประชาชาติได้กำหนดเอาวันมหามงคลนี้เป็น “วันสำคัญสากลของสหประชาชาติ” หรือวันสำคัญสากลโลกนั่นเอง
พุุทธบริษัทรวมใจ จุดวิสาขประทีป น้อมถวายเป็นพุทธบูชา
วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พวกเราเหล่าพุทธบริษัทควรจะได้ได้ชักชวนชาวโลกให้มาเจริญ พุทธานุสติ ระลึกถึงหนทางการสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่วันแรกจนวัน สุดท้าย หันมาศึกษาหลักธรรมที่ทรงประทานไว้ เป็นดังประทีปธรรมนำทางชีวิตที่ถูกต้องไปสู่สวรรค์นิพพาน เราทั้งหลายจะได้มาร่วมกันนั่งสมาธิเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกายซึ่งเป็นกาย แห่งการตรัสรู้ธรรม ทุกท่านควรจะหาโอกาสได้ไปจุดประทีป เดินเวียนประทักษิณรอบพุทธเจดีย์ที่ตนเคารพนับถือเพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ให้ภายนอกได้สว่างด้วยแสงเทียน ภายในสว่างด้วยแสงธรรม
“พระอาทิตย์ ส่องแสงในเวลากลางวัน พระจันทร์ย่อมส่องแสงในเวลากลางคืน กษัตริย์เมื่อทรงเครื่องรบแล้วย่อมรุ่งเรือง พราหมณ์ผู้มีความเพ่งเพียร ย่อมรุ่งเรือง ส่วนพระพุทธเจ้า ย่อมรุ่งเรืองด้วยเดชตลอดทั้งกลางวัน และกลางคืนทั้งหมด”
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘