หลวงพ่อตอบปัญหา ตอนที่ 19


โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียง จาก รายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
คำถาม:กราบ นมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ ลูกมีข้อสงสัยอยากจะกราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่ออยู่ 2ข้อ คือว่า แพทย์กับพยาบาลเป็นวิชาชีพที่ใกล้ชิดกับการเกิดแก่เจ็บตาย แต่ทำไมจึงไม่มาสนใจพระพุทธศาสนาเท่าที่ควรคะ แล้วจะมีวิธีชวนเชิญอย่างไร ที่จะให้ท่านเหล่านี้ได้เข้ามาศึกษาเรื่องความจริงของชีวิต อย่างไรดีเจ้าคะ

คำตอบ:เจริญพร มีความผิดพลาดในวงการศึกษาอยู่ ไม่เฉพาะในประเทศไทย แต่เป็นกันอยู่ทั่วโลกเลย คือ เมื่อเวลาตั้งแต่ชั้นอนุบาลเป็นต้นมา ครูบาอาจารย์ที่ให้การศึกษาก็ตาม รวมทั้งคุณพ่อคุณแม่ที่อยู่ที่บ้าน
เรื่องที่พยายามจะให้เด็กรู้กลายเป็นเรื่องนอกตัวเด็ก

ยิ่งเด็กรู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องนอกตัว เลยจนกระทั่งเรื่องนอกประเทศ เรื่องนอกโลก นอกจักรวาลได้เท่าไหร่ รู้สึกว่า นั่นแสดงถึงความฉลาดเฉลียวของเด็ก นี่คือสิ่งที่มันเป็นกันอยู่ขณะนี้

เมื่อเป็นอย่างนี้เข้า
ยิ่งเรียนไป ยิ่งไม่รู้จักตัวเอง

ในขณะที่พระพุทธศาสนา มีหลักการ ยิ่งเรียน ยิ่งต้องรู้จักตัวเอง ตรงนี้อยากจะฝากคุณโยมเอาไว้ด้วย

ยิ่งเรียน ยิ่งรู้จักตัวเอง เป็นอย่างไร คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงสอนให้กับพวกเราที่เข้าวัด...ถ้าไม่เข้าวัดก็ไม่รู้ ได้สอนไว้ว่า
ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์

ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นทุกข์นั้น คนทางโลก พอมองออก

แต่ว่า...ความเกิดเป็นทุกข์ ต้องบอกว่า ทั้งโลกนั้นมองไม่ออก...ทำไมจึงว่าอย่างนั้น

ก็ทันทีที่เด็กคลอดออกมา ทั้งๆที่เด็กร้อง "ว๊าก" ออกมาเลยจากท้องแม่ ร้อง
ด้วยความเจ็บปวดสุดชีวิต นั่นแสดงว่า เด็กเป็นทุกข์ แม้คุณแม่เองก็ร้องนะ แทบตายแน่ะ

แต่ว่า...พอคุณพ่อเห็นลูกคลอดออกมาเท่านั้น คุณพ่อดีใจ คุณปู่ คุณย่า รู้ว่าหลานออกมาแข็งแรงดี น้ำหนักเท่านั้นเท่านี้ ดีอกดีใจกับการเกิดนั้น

ความจริง การเกิดก็เป็นทุกข์ แต่เรามองกลับกัน เรามองแล้วก็เกิดความคิดว่า ความเกิดนี่แหละเป็นสุข

เรามองผิดตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์เกิดขึ้นมาในโลกแล้ว จากนั้นผิดเรื่อยไป...ทำไม...แม้แต่การเจริญเติบโตของเด็กทางร่างกาย ความจริงนั้น พอเกิดแล้วมันคือ เริ่มแก่ทันที แต่ว่าการแพทย์การพยาบาลมองว่า เด็กเริ่มเจริญเติบโต ความจริงคือ การแก่

ทำไมจึงว่าแก่ เพราะว่าอายุของคนมันจำกัด ผ่านไปวันหนึ่งตั้งแต่วินาทีที่เกิด มันคือใกล้ความตายเข้าไป 1วัน
ใน เมื่อเกิดไป อายุได้ 1วัน คือ ใกล้ความตายไป 1วัน อายุ 1เดือนก็คือ ใกล้ความตายเข้าไปอีก 1เดือน แต่ว่าเราก็ถูกสั่งสอนกันมาผิดๆว่า แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปีที่ผ่านไป...มันคือความเจริญเติบโตของคน แต่ความจริงแล้ว...มันกำลังเดินเข้าไปหาความแก่ แล้วก็เดินเข้าไปหาความตาย ภาพตรงนี้ต้องชัดก่อน

แต่ว่า เมื่อความจริงตรงนี้ ถูกปิดบังอย่างไม่น่าเชื่อ อย่าว่าแต่เราถูกปิดบังเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เมื่อครั้งยังเป็นเจ้าชายอยู่ ก่อนจะออกบวชก็ถูกปิดบังเช่นเดียวกับเรา กว่าพระองค์ท่านจะเฉลียวใจได้ เมื่ออายุ 29 แล้วทรงออกบวช

พวกเรา สติปัญญาไม่ถึงกับท่าน ไม่ถึงกับพระองค์ท่าน เพราะฉะนั้น...เราก็เลยถูกหลอก แล้วก็ระบบการศึกษาทั้งโลกก็ช่วยกันหลอกอีก คือ ให้ไปสนใจสารพัดเรื่อง แต่สิ่งที่ขาด...ไม่ได้สนใจ คือ
ไม่พยายามจะสนใจรู้เรื่องความเป็นไปของชีวิตตัวเอง ไม่ค่อยจะสนใจว่า คนเรานั้นมีใจ ใจของเรารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร มีคุณสมบัติอย่างไร ไม่ค่อยจะได้สนใจ

ยิ่งไปกว่านั้น...คนเราจะดีไม่ดีนั้น มันขึ้นอยู่ที่นิสัย แทนที่จะมาให้ความสำคัญว่า นิสัยของคนเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทั้งนิสัยในฝ่ายดี และฝ่ายไม่ดี คุณพ่อคุณแม่ คุณครู รวมกระทั่งแม้แต่นักบวช ทั้งในพุทธศาสนา และนักบวชศาสนาอื่นๆ มองข้ามเรื่องสำคัญตรงนี้ไป

เพราะฉะนั้น เมื่อท่านเหล่านี้เจริญเติบโตขึ้นมาแล้วมาจบการศึกษา ไม่ว่าแพทย์ไม่ว่าพยาบาล อาจจะมองเรื่องโรคภัยไข้เจ็บถูก แต่มองผิดในเรื่องความแก่ ความเจ็บ ความตาย ตั้งแต่เริ่มต้นมาแล้ว

เพราะฉะนั้น แม้มาเป็นแพทย์แล้ว ตัวเองก็เลยไม่ค่อยได้คิดถึงความตาย ไม่ได้คิดถึงความแก่ และไม่ได้คิดว่า...ตายแล้วจะไปไหน

สิ่งเหล่านี้มันเป็นความผิดพลาดในการเรียน การสอน การอบรม ตั้งแต่พ่อแม่ ตั้งแต่โรงเรียน ตั้งแต่สถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ซึ่งจะส่งคนออกมาประกอบอาชีพในสังคม เราผิดกันอย่างนี้

ถามว่า...แล้วจะทำไงให้มันถูก...จะมีทางเดียว...เริ่มตั้งแต่คุณแม่ก็แล้วกันนะ และคุณพ่อด้วย
หันมาจับพระไตรปิฎกดูบ้าง ศึกษาธรรมะดูบ้างว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนว่าอะไรบ้าง

แล้วจากนั้น คุณครูด้วย ไปชวนคุณครูมา มาหาหลวงพ่อก็ได้ เดี๋ยวพระจะเทศน์ให้ฟังเองว่าอะไร ทั้งพ่อแม่ทั้งครูบาอาจารย์ หัดเข้าวัดกันหน่อยนะ ไม่รู้จะไปหาพระองค์ไหน...มาหาพระองค์นี้ก็ได้ เดี๋ยวจะเทศน์ให้ฟังว่า มันควรจะปรับการศึกษาของชาติ และของโลกอย่างไร แล้วทั้งโลกจะได้รู้จักตัวเองกันตั้งแต่อ้อนแต่ออก...เจริญพร

คำถาม:ในกรณีที่แพทย์รักษาคนไข้ แต่เกิดผลข้างเคียงจากการรักษา ทำให้คนไข้เสียชีวิต ในกรณีเช่นนี้อยากกราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า
จะมีผลบาปต่อแพทย์ หรือไม่ เจ้าคะ

คำตอบ:คุณโยม...ตรงนี้ คงต้องแยกเป็น 2ประเด็น เวลาแพทย์ตั้งใจรักษาคนไข้ ในกรณีที่หนึ่ง แพทย์เอง...ความรู้ในยุคนั้นๆ ไปไม่ทันโรค ก็รักษากันไป งมกันไป...ตรงนี้ก็ต้องบอกว่า
มีรอดบ้าง ตายบ้าง

ส่วนกรณีที่สอง คือ ความรู้นั้นพอสู้กับโรคได้ แต่ประมาทแล้วไปทำเขาตาย ตรงนี้ 2ประเด็นนี้ไม่เหมือนกัน คุณโยม

ในกรณีแรก รู้อยู่ว่าวิชาของเรา ภูมิรู้ของเรานั้นมันไม่ทันกับโรคภัยไข้เจ็บ แล้วในวงการแพทย์ไม่ว่าใครก็ยังไปไม่ถึง เพราะฉะนั้น เราก็พยายามจนสุดฝีมือแล้วมันได้เท่านี้ แล้วก็ปรากฏว่า คนไข้ก็มาตายในมือเรา...ถามว่า
ตรงนี้จะมีบาปกับเราไหม

1.ดูตรงเจตนา เราก็มีเจตนาดี ไม่ได้มีเจตนาร้าย...เราไม่มีเจตนาร้ายกับคนไข้
2.เราประมาทหรือไม่ แพทย์คนนี้ประมาทหรือไม่...ก็ยืนยันได้ว่าไม่ประมาท ก็ทำสุดฝีมือแล้ว ไม่ได้ประมาทเลย
3.เมื่อความรู้เรามันไม่ถึง...เราไม่ได้ประมาท แต่ความรู้เราไม่ถึง...ทำไมไม่ส่งให้คนอื่นเขาไปเสียล่ะ...ที่เขาถึงๆน่ะ...
ซึ่ง คนอื่นในย่านนั้น บ้านนั้น เมืองนั้น เขาก็ไม่ถึงเหมือนกัน ส่งไปกับคนอื่น คนอื่นเขาก็ไม่อยากจะรับด้วย แล้วมาถึงมือเรา เราก็รับแล้วก็ทำสุดฝีมือแล้ว
แล้ว ปรากฏว่าคนไข้ก็ตายแล้ว...ตายกับใคร...ตายกับมือเราเลย...ก็อย่าโกรธอย่าโทษ กันเลย เพราะว่าความรู้ความสามารถมันมีเท่านี้จริงๆ ไม่ได้แกล้งใคร ไม่ได้ปิดโอกาสใคร ตรงนี้หลวงพ่อว่า คงจะไม่มีบาปกรรมอะไรกันหรอกนะ

และก็มั่นใจว่า คนไข้เขาก็คงไม่ได้มาคิดจองเวรจองกรรมอะไรกันกับหมอด้วย ทั้งคู่มีความบริสุทธิ์ใจด้วยกัน แพทย์ก็อยากให้หาย คนไข้ก็ไม่อยากตาย อยากจะให้หมอช่วย

แต่หมอช่วยสุดฝีมือแล้วได้เท่านี้ ก็ต้องยอมรับความจริงกันว่า
...
คนไข้เอ๊ย...มันถึงคราวของคุณนะ
แต่ว่า...ถ้าหมอรู้ตัวอยู่แล้วว่า เราก็คงจะเอาไม่อยู่ ถ้าหลวงพ่อเป็นหมอคนนั้น ก็คงจะเตือนกับคนไข้ด้วยว่า...นึกถึงบุญให้ดีนะ หรืออยากจะทำบุญอะไรรีบทำๆซะนะ

ยิ่งกว่านั้น...ต่อแต่นี้ไป...ให้ทำบุญใหม่เพิ่มขึ้น ด้วยการไหว้วานให้ใครเขาทำบุญทำทานให้ เพราะว่าทรัพย์เป็นของเรา นอนป่วยอยู่ ลุกขึ้นไปทำบุญทำทานไม่ได้ แต่สั่งให้คนไปทำแทนได้ สั่งไป ให้เขาไปทำกับเรา

แล้วก็ที่แน่ๆเลย ถือโอกาสสอนคนไข้ด้วย...จำไว้ก็แล้วกันคุณ
ข้อที่1.คนเราตายแล้วไม่สูญ เขาจะได้ไม่ประมาท รู้ไว้เลยว่า ตายแล้วไม่สูญ ชีวิตหลังความตายยังมี โลกหน้ายังมี
ข้อที่2.แล้วโลกหน้าจะไปยังไง...พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ชัดว่า
ถ้าใจขุ่นมัวล่ะ...ไปไม่ดีหรอก ถ้าใจผ่องใสล่ะ...สวรรค์พอได้ไปเชียว

เพราะฉะนั้น พอรับคนไข้มาอยู่ในมือแล้ว สอนให้ทำสมาธิไปด้วย ใจจะได้ใสๆ ตายก็ไปดี เข้าทำนองที่ว่า ถ้าไม่หนักหนาสาหัสนักมันก็หาย ถ้ามันหนักหนาสาหัสนักมันก็ต้องตาย แต่ว่าตายก็ไปดี เมื่อคนไข้ถึงคราวตาย แต่ตายแล้วไปดีอยู่ในมือเรา ไม่น่าเสียใจอะไร

แต่ว่า...
ในกรณีที่สอง ความรู้ก็มี แต่หมอประมาทไม่ดูให้เรียบร้อย ปรากฏว่าคนไข้ตาย ตรงนี้...บาปกรรมติดตัวกับคุณหมอแน่นอน เอา เถอะ ถ้าชาตินี้กรรมตามไม่ทัน ชาติใดชาติหนึ่ง กรรมแห่งความประมาทที่ทำไว้กับคนไข้นี้ตามทันเข้า หมอเองก็จะต้องไปตายด้วยความประมาทของหมอข้างหน้าโน่นแหละ ชาติใดชาติหนึ่ง มันหนีกันไม่พ้นอย่างนี้

เมื่อรู้ตัวอย่างนี้แล้วว่า
ถ้าประมาท แม้จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ จะแกล้งหรือไม่แกล้งคนไข้...
บาปกรรมนั้นเกิดขึ้นกับหมอแน่

เพราะฉะนั้น คุณหมอทั้งหลาย หลวงพ่อฝากเอาไว้ ดูแลคนไข้ให้ดีนะ ประมาทพลาดพลั้งนิดเดียว อย่าว่าแต่ไปทำเขาตายเลย ไปทำเขาตาบอด ไปตัดขาเขา แล้วทำให้แทนที่จะมาต่อ มาดาม ได้ ปรากฏว่า ด้วนไปทั้งชาติ ชาติต่อไปก็คุณหมอไปเตรียมด้วนเองก็แล้วกัน ไปเตรียมตาบอดเองก็แล้วกัน

นี่โดยแรงกรรม โดยที่คนไข้ไม่ได้ตามจองล้างจองผลาญนะ ก็ยังจะต้องไปเจออย่างนี้

ถ้าคนไข้เขาโกรธ เขาพยามบาทตามจองล้างจองผลาญด้วย คุณหมอเอ๊ย... หนักนะ...ฝากไว้แค่นี้

คำถาม:
คุณพ่อเพิ่งจะเสียชีวิตไป และผมเป็นลูกชายคนโตที่ต้องดูแลคุณแม่และน้องสาว อยากจะขอความเมตตาจากหลวงพ่อ ชี้แนะหลักในการดำเนินชีวิตต่อไปด้วยครับ

คำตอบ: ใน ฐานะที่เหลือกันเพียง 3ชีวิต คือ คุณแม่ ตัวคุณเอง แล้วก็น้องสาว น้องสาวก็ยังอยู่ในวัยเรียน คุณเองก็เพิ่งจบการศึกษาไม่นาน แต่เอาล่ะ...วันนี้ ต้องทำหน้าที่แทนคุณพ่อในบางเรื่องซะแล้ว

เราต้องยอมรับความจริงกันว่า
ถึงแม้บ้านเมืองไทยของเรา จะสุขสงบยังไงก็ตาม แต่ว่ามีหลายๆเรื่องที่ว่า...เอาในครอบครัวนี้ล่ะ...แม้ไม่มีใครมากวนเรา แต่ก็มีหลายๆเรื่องที่ต้องอาศัยฝ่ายชายดูแล เช่น เป็นต้นว่า ความปลอดภัยเกี่ยวกับเครื่องไม้เครื่องมือในบ้าน เช่น เกี่ยวกับไฟฟ้า เป็นต้น นี่ยกตัวอย่าง เกี่ยวกับการซ่อมบำรุง อุปกรณ์ต่างๆในบ้าน โดยเฉพาะเครื่องไม้เครื่องมือหนัก หรือเรื่องน้ำ เรื่องไฟฟ้า ในบ้านทำนองนี้

สิ่งเหล่านี้...วันนี้คุณพ่อไม่อยู่ คุณแม่ก็เคว้งคว้าง แม้เราจะเพิ่งจบการศึกษาใหม่ๆ ยังไม่ได้ผจญโลกอะไรหนักหนา ว่าที่จริง...
ประสบการณ์ต่างๆก็เทียบคุณแม่ไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม คุณแม่ไม่ถนัดหรอก ถ้าจะให้ไปดูเรื่องไฟฟ้า เรื่องซ่อมหลังคา เรื่อง ซ่อมหน้าต่าง คุณต้องทำหน้าที่ตรงนี้ รับภาระแทนคุณพ่อให้ดี นี่เป็นเรื่องที่หนึ่ง ที่คุณจะต้องยืดอกขึ้นมาแล้ว

เรื่องที่สอง สำหรับน้อง...น้องสาวโตเป็นวัยรุ่นขึ้นมาแล้ว คุณเป็นพี่ชาย คุณผ่านวัยรุ่นตรงนี้มาก่อน คุณรู้นะ...จิตใจวัยรุ่น มันกระเจิงไปยังไงบ้าง วันนี้...เวลาน้องจิตใจกระเจิง ขวัญกระเจิง เหลียวมาไม่เจอหน้าคุณพ่อ เจอแต่คุณแม่
บาง เรื่องเขาก็ไปปรึกษากับคุณแม่ได้ แต่บางเรื่องเรื่องวัยรุ่นด้วยกันนี้นะ ปรึกษาคุณแม่ บางทีคุณแม่อาจดุ เขาก็ไม่อยากจะปรึกษานัก สู้กับพี่ชายไม่ได้

กรณีอย่างนี้ตั้งหลักให้ดี ให้เป็นความอบอุ่นของน้องให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้น เดี๋ยวน้องเตลิดเปิดเปิงไป วันนั้นคงได้เสียใจกันทั้งบ้าน

ที่กล่าวมานี้ เป็นการทำหน้าที่เป็นหลักในเรื่องภายในบ้าน ในลักษณะที่ว่าครอบครัวไม่มีอะไรกระทบกระทั่ง ไม่มีอะไรเดือดร้อน

แต่ถ้ากรณีที่น้องมีปัญหา จะมีปัญหาในเรื่องอะไรก็ตาม
พอมาถึงตรงนี้คุณต้องหนักแล้วนะ ทั้งหนักแน่น ทั้งหนักใจยังไงก็ตามที ในกรณีอย่างนี้หลวงพ่ออยากจะฝากเอาไว้

มีเรื่องอยู่ 3เรื่องที่คุณต้องทำ
เรื่องแรกก่อน หาทางทั้งคุณแม่ ทั้งเราเอง ทั้งน้องหาทาง หาโอกาส อย่างน้อย ในวันหนึ่งควรได้มีเวลากินข้าวร่วมกันพร้อมหน้า มื้อ หนึ่งก็ยังดี จะมื้อไหนก็แล้วแต่ ถ้ามื้อหนึ่งใน 1วัน ได้เจอหน้ากันอย่างนี้ มีอะไรก็พอถ่ายทอดสารทุกข์สุขดิบกันได้ คอยปลอบขวัญปลอบกำลังใจกันได้

หรือพอจะสังเกตความผิดปกติของน้องได้ ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้ทั้งเรา ทั้งคุณแม่ คว้าตัวน้องสาวไว้ได้ไม่ให้ผิดพลาดอะไร

เรื่องที่สอง ที่อยากจะฝากคุณเอาไว้อีก คือ ทั้งคุณ ทั้งน้อง ทั้งคุณแม่ หาทาง เช้าขึ้นมา หาโอกาสตักบาตรร่วมกัน
เอาน้อง เอาเรา เอาแม่ ผูกกับบุญไว้ก่อน

สมมุติว่า น้องสาวก็ไม่ค่อยจะสนใจเรื่องบุญนัก...แต่เอาเถอะ หาทาง หาข้ออ้าง เช่น เออ...น้องตักบาตรกันนะ แล้วจะได้เอาบุญนี้ อุทิศกรวดน้ำให้กับคุณพ่อ นี่เอาข้ออ้างอย่างนี้เลย เอาคุณพ่อเป็นตัวตั้ง ว่าจะเอาบุญให้คุณพ่อ ตรงนี้ยังไงเสียน้องก็ยินดี
แต่ถ้าบอกว่าเอาบุญเพื่อตัวเอง...บางทีแกนึกไม่ออก แกอาจจะไม่สนใจ แต่เพื่อคุณพ่อ คำๆนี้ยังศักดิ์สิทธิ์อยู่ ก็จะทำให้น้อง เอาใจมาผูกอยู่กับบุญบ้าง ก็จะทำให้ความฟุ้งซ่าน ความไม่เหมาะสมต่างๆของน้อง ลดลงไปอีกระดับหนึ่ง

อันนี้ต้องถือว่า นี้เป็นมาตรการป้องกันก็แล้วกันนะ ไม่ใช่มาตรการแก้ไข และถ้าให้ดียิ่งไปกว่านั้น
ก่อนนอน ชวนแม่ ชวนน้อง สวดมนต์หรือนั่งสมาธิอีกสักรอบหนึ่ง อย่างนี้ น้องก็ยิ่งใจสงบขึ้น

นอกจากใจสงบแล้วการเรียนของน้อง มีโอกาสดีขึ้นด้วย มารยาท ความนุ่มนวลต่างๆ ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย สิ่งเหล่านี้อย่ามองข้าม

เมื่อเราไม่มองข้าม มันก็กลายเป็นว่า 3ชีวิตในครอบครัวเรานี้
ได้สร้างเกราะคุ้มกันให้แก่กันและกันเรียบร้อยแล้ว ความอบอุ่นได้เกิดแล้ว ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวได้เกิดแล้ว อย่างนี้พลังใจของ ไม่เฉพาะของน้องหรอก แม้แต่คุณเองนั่นแหละ มันก็ดีขึ้น

และ
ประการสุดท้าย ที่หลวงพ่ออยากจะฝากเอาไว้ ไม่ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับน้อง ในทางที่ไม่ดี อย่าดุน้องนะ พูดเพราะๆกับน้อง เพราะ ว่ากำลังใจแกก็แย่อยู่แล้ว เพราะคุณพ่อไม่อยู่ แล้วแกเริ่มผิดเริ่มพลาดขึ้นมา ถ้าเราไปใช้คำพูดอะไรแรงๆกับแก แทนที่จะดีมันจะกลายเป็นซ้ำเติมนะลูกนะ

ประคองน้องให้ดีเพราะน้องเป็นผู้หญิง ถ้าเป็นน้องผู้ชายล่ะก็ อาจจะเตือนกันแรงๆได้ แต่น้องผู้หญิง...
อย่าเอามาตรฐานตัวเองซึ่งเป็นผู้ชายไปวัด

ถ้าเราช่วยกันประคับประคองอย่างนี้ เข้าใจกันอย่างนี้ ให้กำลังใจกันอย่างนี้...ไปได้คุณ เพราะอย่างน้อย คุณแม่ยังอยู่

แล้วก็คุณ...อย่าลืม...ทั้งพี่ทั้งน้องก่อนจะนอน กราบเท้าคุณแม่ขอพรท่าน ให้ได้ทุกคืนด้วยนะ ความเป็นมงคลจะเกิดกับคุณและน้องตลอดไป

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘