หลวงพ่อตอบปัญหา ตอนที่ 11

โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียง จาก รายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
คำถาม:พระสงฆ์ที่ท่านเดินบิณฑบาตเจ้าค่ะ ท่านจะสามารถสวมรองเท้าได้ หรือไม่เจ้าคะ เพราะว่าในสภาพปัจจุบันนี้พื้นที่บางแห่งไม่เหมาะสมที่จะเดินเท้าเปล่าเจ้าค่ะ
คำตอบ:ตั้งแต่หลวงพ่อยังเล็กๆอยู่ ก็เห็นเวลาพระท่านออกบิณฑบาตกัน เดินเป็นแถวไปตามคันนาบ้าง ไปตามทางเกวียนในหมู่บ้านบ้าง
ต่อมา เมื่อมีถนน รถยนต์ ได้มีการราดยางมะตอยกัน พระท่านก็เดินริมๆถนนไป เดินกันไปเป็นแถว ออกบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านญาติโยมไป
สิ่งที่สังเกตชัดมาตั้งแต่เล็ก คือ พระท่านไม่ใส่รองเท้า ท่านถอดรองเท้าแล้วก็ออกบิณฑบาต นี่คือธรรมเนียมของพระภิกษุในประเทศไทย
คำถามที่ถามมาว่า พระจะต้องถอดรองเท้าบิณฑบาตตลอดไปหรือไม่ หรือว่าถ้าจำเป็นจะต้องใส่ จะได้หรือไม่ อะไรทำนองนี้ หลวงพ่ออยากจะให้ข้อคิดเอาไว้กับพวกเรา คือ วินัยประเภทนี้ ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมของบ้านเมืองด้วย
เมื่อหลวงพ่อเล็กๆ อย่างที่ว่ามาเมื่อ 60ปีที่แล้ว ดินในท้องนาไม่สกปรกเหมือนดินในปัจจุบัน
ถนน แม้จะเป็นถนนประเภทที่ฝุ่นตลบไปหมด เพราะว่ามีแต่เกวียน เป็นทางเกวียน หน้าแล้งฝุ่นตลบ หน้าฝนเป็นโคลนเป็นหล่ม แต่ถึงขนาดนั้น ถนนโคลน ถนนฝุ่นอย่างนั้น ก็ไม่สกปรกด้วยสารพิษเหมือนอย่างที่เป็นในปัจจุบัน
ปัจจุบันนี้ ทั้งถนนคอนกรีต ถนนลาดยาง มีเยอะแยะไปหมด แต่ก็ขอบอกตรงๆเลยว่า บางครั้งไม่กล้าถอดรองเท้าเดิน
ทำไม... เพราะ สังเกตออกเลยว่า ถนนเส้นนี้มีประเภทพวกสารเคมีตกค้างอยู่เยอะ เช่น แถบนี้ขายยาฆ่าแมลง ขายปุ๋ยเคมี มีร้านขายยาฆ่าแมลงอยู่ มีร้านขายปุ๋ยเคมีอยู่ พวกยาฆ่าแมลงที่หกๆหล่นๆอยู่ย่านนั้นมี พวกปุ๋ยที่หกๆหล่นๆอยู่ย่านนั้นมี
รวมกระทั่งในย่านนั้น ยังมีอู่ซ่อมรถ มีพวกเศษเหล็ก เศษอะไรอยู่ทิ้งๆเอาไว้ พร้อมจะตำเท้า เวลามีความจำเป็นที่จะต้องถอดรองเท้าเดินผ่านแถวๆนั้น ก็ต้องบอกว่า ไม่สบายใจเลย
และ ขณะนี้ เมื่อกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด เดินไปตามท้องนา...ในท้องนา ในท้องไร่ ปัจจุบันนี้ พวกสารเคมีประเภทยาฆ่าแมลง และปุ๋ย ได้เอาไปใช้กันในท้องไร่ท้องนามาก สารเคมีประเภทยาฆ่าหญ้า สารเคมีที่ใช้ฆ่าหญ้า นำมาใช้กันมากในบ้านเมืองไทยขณะนี้ ในบริเวณพื้นที่เกษตรกรรม
เพราะฉะนั้น ในการเดินไปตามท้องไร่ท้องนา เดินตามคันนาในปัจจุบันนี้ การไม่ใส่รองเท้ากำลังกลายเป็นความไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ ต่อพลานามัย ไม่ใช่เฉพาะของพระภิกษุเท่านั้น แต่เป็นความไม่ปลอดภัยแม้กระทั่งของประชาชนทั่วๆ ไป
สิ่ง เหล่านี้ กำลังเคลือบคลานมาเบียดเบียนสิ่งแวดล้อมของเรา ทำให้ธรรมชาติเสียหายไป แล้วก็กำลังคืบคลานมาบีบให้ทั้งพระ ให้ทั้งคนนั่นแหละ จะต้องละทิ้งขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามบางสิ่งบางอย่างไป เพราะสภาพเป็นพิษที่เราปล่อยปละละเลย แล้วมันเกิดขึ้น...เรามักง่าย แล้วมันเกิดขึ้น
ด้วยเหตุดังกล่าวมาแล้วนี้ ก็จะทำให้การบิณฑบาตในอนาคต อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยน
แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ที่พูดอยู่นี้ อาตมาเอง เวลาบิณฑบาตก็ยังถอดรองเท้าบิณฑบาตอยู่นะ อันนี้บอกก่อน ไม่ใช่มาชักชวนให้ทำลายขนบธรรมเนียมประเพณี และพระธรรมวินัย แต่ชี้ให้เห็นว่า สภาพแวดล้อมมันเป็นอย่างนี้
เพราะ ฉะนั้น ต่อไปในอนาคตหากเกิดมีความจำเป็นว่า จะต้องใส่รองเท้าด้วยเหตุแห่งจะมีสารเคมี จะมีวัตถุสิ่งใดมาทำอันตรายให้กับเท้า จึงจำเป็นจะต้องใส่รองเท้าบิณฑบาตกันในอนาคตนั้น ก็เป็นเรื่องที่จะต้องมาช่วยกันพินิจพิจารณา
และก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น อยากจะฝากเอาไว้ทั้งในหน่วยงานของเอกชน ทั้งในหน่วยงานของรัฐบาล ใคร ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องควบคุมเกี่ยวกับเรื่องสารพิษ เกี่ยวข้องควบคุมเกี่ยวกับเรื่องโรคระบาด เกี่ยวข้องควบคุมเกี่ยวกับเรื่องขยะ ที่มีเศษแก้ว เศษกระจก เศษโลหะ ที่จะบาด ที่จะทิ่ม ที่จะตำเท้าได้ ให้ช่วยหามาตรการทำให้มันเคร่งครัดให้เต็มที่ด้วย
ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ต่อไปในภายภาคหน้า จะกระทบกระเทือนแม้แต่กระทั่งพระธรรมวินัย
อีกประการหนึ่งที่อยากจะฝากกับญาติโยมชาวไทยว่า เวลามองพระ อย่ามองกันด้วยการจับผิด แต่ขอให้มองกันด้วยจิตเมตตา
ใน บ้านในเมืองเรา ขณะนี้มีอุปกรณ์ที่ยั่วยุ และส่งเสริมให้คนไทยทั้งแผ่นดินเกิดนิสัยชอบจับผิดกันขึ้น แทนที่จะมอง จะคิดกันด้วยจิตเมตตา กลับมาจ้องจับผิดกัน
ยกตัวอย่างก็แล้วกันนะว่า เช้าขึ้นมา ถ้าเราฟังวิทยุแต่เช้า ก็จะมีการวิจารณ์ข่าว และในการวิจารณ์นั้นส่วนมากก็เข้าทำนองที่ว่า ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีๆต้องเสียสตางค์ คือ ข่าวที่เอามาอ่านกันนั้น ไม่ค่อยมีข่าวสร้างสรรค์หรอก มีแต่ข่าวร้ายๆทั้งนั้น
เมื่อมีแต่ข่าวร้ายๆ มีแต่เรื่องทำลายกัน จะเป็นอย่างไร...ก็จะเพาะนิสัยให้จับผิดกัน
ส่วน ข่าวดีๆ หนังสือพิมพ์ก็ไม่ค่อยอยากลง ต้องจ้างให้ลง วิทยุก็ไม่ชอบเอามาอ่าน ยิ่งในทีวี...ถ้าใครดูทีวีแต่เช้า ก็เลยกลายเป็นว่า ได้ยินทั้งเสียงซึ่งไม่เป็นมงคลอยู่แล้ว เพราะเป็นเสียงจับผิด ได้เห็นทั้งภาพที่ไม่เป็นมงคล เป็นภาพร้ายๆ ภาพประเภทจับผิดเข้ามาอีก
ตกลง เป็นอันว่า ในเมืองไทยของเราขณะนี้ ประชาชนคนไทยตื่นขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงที่ไม่เป็นมงคลตั้งแต่ต้น คือ เสียงจับผิด เสียงจากการอ่านข่าวร้ายๆ และถ้าดูทีวี ก็จะมีเสียงที่ไม่เป็นมงคล และภาพที่ไม่ค่อยจะเป็นมงคลตามมาด้วย...น่าสงสารนะ...คนไทย แล้วคนไทยทั้งประเทศก็กลายเป็นคนชอบจับผิดไปโดยไม่รู้ตัว
ถ้าไม่เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศขณะนี้กำลังกลายเป็นคนจับผิดไปล่ะก็ อาตมาจะยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ
คุณ พ่อคุณแม่ทั้งหลาย เช้านี้ลองดูเลย ไปหยิบกระดาษมาแผ่นหนึ่ง ดินสอแท่งหนึ่ง หรือปากกาแท่งหนึ่ง ส่งให้ลูก (ลูกที่โตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ไม่ต้องยกไว้ เอาตั้งแต่เล็กเลย เจ้าจุก เจ้าแกละ เจ้าเปีย) แล้วบอกว่า “ลูกเอ๊ย...ช่วยเขียนให้แม่ชื่นใจหน่อยซิว่า แม่ดีต่อลูกยังไง หรือแม่มีพระคุณต่อลูกยังไง”
คำว่า “พระคุณ” เดี๋ยวนี้ พวกเขาอาจจะไม่รู้จัก เอาว่า “แม่นี่ดีต่อลูกยังไง หรือลูกนี่เห็นว่าแม่นี่น่ารักตรงไหน” ช่วยเขียนให้แม่ชื่นใจ นี่กระดาษ นี่ดินสอ ปากกา เอาเลย เขียนมาสัก 1หน้า
เชื่อ ไหม...ไอ้จุก ไอ้แกละ ไอ้เปีย ลูกหลานของรา อย่างดีมันเขียนให้แม่ชื่นใจ อาจจะสัก 2บรรทัด 3บรรทัด ที่จะให้ได้ตั้งหน้าหนึ่ง อย่าไปหวังเลย พวกเขานึกไม่ออก
เพราะ วิธีชมคนนั้น ไม่เคยมีใครสอน พ่อแม่ก็ไม่ได้สั่งสอน หนังสือพิมพ์ก็ไม่เคยสอน ครูก็ไม่เคยสอน วิทยุทีวีก็ไม่เคยสอน ยิ่งข่าวเช้าๆ อย่างที่ว่ามาแล้วนั้น ไม่เคยเลย เรื่องชม มีแต่เรื่องติ เป็นอย่างนี้
คราวนี้เอาใหม่ ไปหยิบกระดาษอีกแผ่นหนึ่ง แล้วบอกว่า “ลูกเอ๊ย...เจ้าเห็นว่า แม่ไม่ดีกับเจ้ายังไง อยากจะให้แม่แก้ไขปรับปรุงยังไง ช่วยเขียนให้แม่หน่อยซิ” เอาส่งไปให้อีกแผ่นหนึ่ง ไปลองดู
เชื่อไหมว่า เดี๋ยวเถอะ...ไอ้จุก ไอ้แกละ ไอ้เปีย จะขออีกกระดาษอีกแผ่น แค่แผ่นเดียวมันน้อยไป
ทำไมมันเป็นอย่างนั้น...เพราะ ไอ้จุก ไอ้แกละ ไอ้เปีย ลูกหลานของเราในวันนี้ ลูกหลานไทยในวันนี้ พวกเขาคุ้นต่อการจับผิด พวกเขาไม่คุ้นต่อการจับถูก
ความ ถูกต้องความดีงามของคน เดี๋ยวนี้ไม่มีใครชี้แนะให้ดู มีแต่ชี้แนะว่า คนโน้นเสียยังไง คนนี้เลวยังไง เมื่อเป็นอย่างนี้ ลูกหลานของเรา ลูกหลานไทยวันนี้ จึงเป็นนักจับผิดตัวยงไปเสียแล้ว
เริ่มต้น...มนุษย์จะจับผิดใคร...จับผิดคนใกล้ตัว เพราะฉะนั้น พ่อแม่นั่นแหละจะถูกลูกจับผิด
ในขณะที่เมื่อก่อนโน้น ก่อนจะนอน เด็กเมื่อ 50-60ปีที่แล้ว อาตมาถูกฝึกมา ก่อนจะนอน ต้องสวดมนต์ไหว้พระกับแม่แล้วจึงไปนอน
พอ สวดมนต์ไหว้พระเสร็จ กราบเท้าคุณแม่ กราบเท้าคุณพ่อ หรือถ้าคุณปู่คุณย่าอยู่ด้วย ไปกราบเท่าคุณปู่ กราบเท้าคุณย่า ไปขอพรท่าน แล้วท่านก็ให้พรเพราะเสียด้วย เช่น “เออ... เมื่อเช้านี้ย่าตักบาตรพระมา 5องค์ ด้วยบุญที่ย่าตักบาตรให้อายุพระ ให้อายุพระศาสนา ให้หลานย่าอายุยืนๆนะ ไม่ป่วย ไม่เจ็บไม่ไข้” จากนั้น เราก็สาธุกราบท่าน แล้วเราก็ไปนอน
กราบเท้าคุณแม่ คุณแม่ก็บอก “เออ... วันนี้แม่ไปวัดมา ไปทำบุญ ไปกับย่านั่นแหละ กลับมาก็เลยถือโอกาสซื้อปลา ปล่อยสัตว์ปล่อยปลาให้ชีวิตเป็นทาน ด้วยกุศลผลบุญนี้ให้ลูกแม่ อายุมั่นขวัญยืน อุบัติเหตุเภทภัยอย่าได้ไปเจอะไปเจอเลยนะลูกนะ” เราสาธุ แล้วเราก็กราบเท้าท่าน แล้วเราก็ไปนอน
เมื่อ 50-60ปีก่อน คนรุ่นอาตมานี่แหละ ก่อนนอนก็ยังได้ยินเสียงเพราะๆ อย่างนี้ ยังได้ยินเสียงให้พร เดี๋ยวนี้ลูกหลานไทยไม่เคยมี ไม่เคยได้เสียงชวนจากพ่อแม่ให้ไปกราบพระก่อนนอน ไม่ได้ยินเสียงให้พรจากพ่อแม่ก่อนนอน
เพราะ ฉะนั้น ลูกหลานของเราวันนี้ ลูกหลานไทยวันนี้ ชมคนไม่เป็น ให้พรคนไม่เป็น สรรเสริญกันไม่เป็น เป็นแต่จะจับผิดกัน เป็นอยู่อย่างนี้ แล้วมันระบาดไปทั่วบ้านทั่วเมือง จะจับผิดพ่อแม่ที่อยู่ในบ้าน จับผิดคนใช้ที่อยู่ในบ้าน จับผิดพี่ๆน้องๆกันเอง หนักเข้า พอไปถึงโรงเรียนก็จับผิดครู จับผิดเพื่อน หนักเข้า...หนักเข้า
เมื่อโตขึ้นมา อ่านหนังสือพิมพ์ก็คล่อง ดูทีวีก็คล่อง ฟังเสียงก็ชัด เป็นอย่าไร ก็เริ่มติผู้บริหารบ้านเมือง หนักเข้า...หนักเข้า ลามกระทั่งติพระ จับผิดพระ
ถ้า ปล่อยสภาพอย่างนี้ต่อไป ไม่ต้องมีใครมาทำอันตรายในประเทศไทยหรอก เราแค่จับผิดกันเอง ติกันเอง บ้านเมืองก็พอจะลุกเป็นไฟได้แล้ว ไม่ต้องใครมาทำอะไรเรา
เพราะ ฉะนั้น ฝึกกันใหม่ ย้อนกลับมาใหม่ ตั้งแต่เช้าขึ้นมาสวดมนต์ไหว้พระก่อน แล้วก็ชักชวนกันทำบุญ ตักบาตร ชักชวนกันประกอบคุณงามความดี กินข้าวเสร็จไปทำงาน
ถึงที่ทำงาน...นายจ้างก็อย่าจับผิดลูกน้อง ลูกน้องก็อย่าจับผิดนายจ้าง แล้วช่วยกันทำงานไป
ขณะทำงาน...เพื่อนก็อย่าจับผิดเพื่อน มีอะไรจะแนะนำสั่งสอนตักเตือนกันได้ก็ว่ากัน
เสร็จ งานกลับบ้าน...ถ้าผิดพ้องหมองใจ ขาดตกบกพร่องอะไรก็อย่าโกรธกันนะ เพราะว่าล้วนแต่จะทำงานให้ดีกันทั้งนั้นแหละ ถ้าล่วงล้ำกล่ำเกินกันก็ขออภัย ด้วยนะ ให้จบกันแค่วันนี้ อย่าให้ความขุ่นใจข้ามคืนไปเลยนะ
ลาจากกันที่ทำงาน แล้วก็กลับบ้าน อาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาเสร็จ ก็สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน ให้พรลูกให้พรหลานก่อนนอน
เรา ย้อนกลับมาทำสิ่งที่ดีงามอย่างนี้ แล้วบ้านเมืองไทยจะได้ไม่ต้องมีแต่เรื่องรกหูรกใจอย่างที่เป็นอยู่ แล้วไฟ...ไม่ว่าจะไฟเหนือไฟใต้ จะไฟรัฐวิสาหกิจ ไฟอะไรต่ออะไร มันจะค่อยๆหมดไปเอง...อย่าจับผิดกัน
เมื่อเราไม่จับผิดกัน มันก็จะตรงกันข้าม คือ หันมาจับถูก จับความดี ซึ่งกันและกัน
เมื่อนั้น ลูกจะเห็นคุณพ่อแม่ สามีจะเห็นคุณภรรยา ภรรยาจะเห็นคุณสามี ฆราวาสจะเห็นคุณของพระ พระก็เห็นคุณของญาติโยมที่ได้อุปการะให้ข้าวปลาอาหาร ทำให้มีเรี่ยวแรงปฏิบัติธรรม
ญาติโยมก็เห็นคุณของพระ ที่เป็นเนื้อนาบุญให้ มาเทศน์ มาสั่งสอนให้รู้บุญรู้บาป เลยปิดนรก เปิดสวรรค์ให้กับเรา
มอง กันด้วยจิตเมตตาอย่างนี้ แล้วเรื่องว่า พระจะใส่รองเท้าบิณฑบาต เพราะว่าสารเคมีย่านนั้นมันเยอะเหลือเกิน ขืนไม่ใส่รองเท้า เท้าได้พังกันแน่ เมื่อถึงตอนนั้น ก็ไม่มีใครมานั่งจับผิดพระ
แต่ว่า ตอนนี้ ช่วยกันล้างถนนให้ดี หลวงพ่อ หลวงพี่ จะได้บิณฑบาตสบายหน่อย ไม่เดินกะย่องกะแย่ง แล้วได้บุญด้วยกันทั้ง 2ฝ่าย พระก็เป็นเนื้อนาบุญให้กับโยม โยมตักบาตรก็อิ่มใจ
พระ ได้ข้าวปลาอาหารมา ไม่ต้องเดินกะย่องกะแย่ง ฉันเสร็จเรียบร้อย มีแรงดี ก็ไปศึกษาพระไตรปิฎก แล้วก็มาเทศน์ให้โยมฟังอย่างนี้นะ...แล้วมันจะดี

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘